tag:blogger.com,1999:blog-246174202024-03-13T04:48:09.694+02:00Left OpenA collection of my ideas rooted in the tradition of labor activism and radical theoriesKriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.comBlogger118125tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-40139779299508956962020-08-26T23:56:00.003+03:002020-08-27T00:09:06.823+03:00Capitalism as a Death Making Enterprise<p>หายไปจากการเขียนและอัพเดทบล็อกหลายปี มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยเฉพาะงานวิจัยหลายฉบับที่ทำเสร็จไป และการก่อตั้งสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม โพสนี้เป็นโพสแรกแต่จะขอเขียนสั้นๆ เพื่อแนะนำหนังสือ 2 เล่ม </p><p>-------------------</p><p>ทำไมสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านสาธารณสุขและการดูแล ในสังคมทุนนิยมจึงไม่สามารถสนับสนุนกลุ่มเปราะบางทางสังคมได้ อย่างที่ควรจะเป็น?</p><p>ผมคิดว่าทฤษฏี Social Reproduction Theory (SRT) ช่วยตอบทำถามนี้ได้ดี เลยอยากแนะนำหนังสือสองเล่ม ที่มีอิทธิพลต่อผมอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือ Mapping Social Reproduction Theory และ Women and Work ทั้งสองเล่มเขียนโดย Susan Ferguson และพิมพ์โดย Pluto Press</p><p>ในวันเมย์เดย์ปีที่ผ่านมา Pluto จัดเสวนาออนไลน์พิเศษเกี่ยวกับประเด็นของ Covid-19 กับ SRT และผมคิดว่าคนที่สนใจทฤษฎีนี้น่าจะฟัง<a href="https://youtu.be/Xg5ASSAjMCc">สนทนาออนไลน์ Susan Ferguson & Tithi Bhattacharya โดย Pluto Press</a></p><p>หัวใจของคำอธิบายจากทฤษฎีนี้อาจจะสรุปเป็นประโยคสั้นๆ ตามที่เขียนเป็นชื่อโพสนี้คือ "ทุนนิยมคือองค์กรผลิตความตาย" ที่มาจาก Tithi เป็นคนกล่าวในวิดีโอ อาจจะดราม่านิดหน่อย แต่เป็นการพูดเกินจริงเพื่อให้เห็นภาพว่า การจัดวางความสัมพันธ์ทางสังคมในระบบทุนนิยมนั้น มีตรรกของการทำให้ชีวิตของกลุ่มกรรมกรหรือผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่ gendered และ racialized ที่อยู่ชั้นล่างสุดดำรงอยู่แค่ประทังชีวิตไปวันต่อวันเท่านั้น โดยความสามารถในการมีชีวิตอยู่ไปวันๆ กลับผูกเข้าไว้กับ waged work หรือสถานะของการทำงานแลกกับค่าแรงในระบบทุน</p><p>คราวนี้ วิกฤตของโควิด 19 ที่เกิดขึ้นจึงเหมือนแว่นขยายหรือไฟฉายวิเศษที่มาส่องให้มันใหญ่เกินขนาดจริง และทำให้ทุนนิยมมันทำงานแบบที่เข้มข้นที่สุด </p><p>แล้วเราได้เรียนรู้อะไรบ้างในเชิงนโยบายจากโควิด19 เมื่อมองภาพเลนส์ของ SRT หรือผมจะขอเรียกว่า Social Reproduction Feminism</p><p>1. สิ่งที่รัฐบาลประเทศต่างๆ กำลังทำในวิกฤตนี้ คือ ตั้งโรงพยาบาลพิเศษ จ่ายเงินพิเศษให้คนอยู่บ้าน อุดหนุนงบประมาณพิเศษให้กับคนตกงาน และจ่ายอุดหนุนในด้านสาธารณสุข ฯลฯ ทุกอย่างที่ทำเป็นกรณีพิเศษ คือ ตัวอย่างของระบบสวัสดิการที่สังคมในแบบตรงข้ามกับทุนนิยมควรจะมี </p><p>2. ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่เกิดกับกลุ่มเปราะบาง เช่น แรงงานข้ามชาติ ผู้อพยพ ผู้ต้องขัง แรงงานสำคัญในชีวิต (essential workers) เช่น ถูกบังคับให้ทำงานบนความเสี่ยง ถูกกักกันในสภาพของความเป็นอยู่ที่เสี่ยงต่อการติดไวรัส ขาดแคลนปัจจัยสี่ หรือได้รับการปฏิบัติอย่างไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กลับสะท้อนความเป็นจริงในสังคมทุนนิยมที่ปกติเราไม่ได้ตั้งใจมอง แต่เมื่อถูกทำให้กระจ่างชัด เรากลับเห็นสภาพที่เข้มข้นขึ้นของสิ่งที่มันเป็น เหล่านี้คือตัวอย่างของสิ่งที่ทุนนิยมทำให้เกิด และควรเปลี่ยนแปลง</p><p>ขอแถมด้วยบทสัมภาษณ์ของผมเอง ในวันเมย์เดย์หรือวันกรรมกรสากลเช่นกัน ที่อาจจะมีบางส่วนช่วยอธิบายเติมเต็มในสิ่งที่ไม่ได้เขียน <a href="https://waymagazine.org/may-day-and-usa-workers-movement/">https://waymagazine.org/may-day-and-usa-workers-movement/</a></p><p>ประเด็นที่อยากจะเน้น และคิดว่า SRT เข้ามาช่วยให้เราเข้าใจกระจ่างชัดขึ้นคือ นัยสำคัญและคุณูปการของแรงงานกลุ่ม essential ที่เป็นผู้ผลิตซ้ำระบบทุน และผลิตซ้ำความสัมพันธ์ในเชิงชนชั้นของพวกเขาเองด้วย ทำให้เกิดภาวะที่เป็นดาบสองคมต่อระบบทุน กล่าวคือ เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ตายหรือไม่สามารถทำหน้าที่ผลิตซ้ำกำลังแรงงานตนเอง ไม่สามารถผลิตซ้ำกำลังแรงงานในเชิง generation และไม่สามารถสร้าง value ในระบบทุนนิยมได้ ระบบทุนนิยมก็หยุดชะงักและสุ่มเสี่ยงต่อการพังคลืนเป็นโดมิโนไปด้วย ดังนั้น ระบบนี้ไม่สามารถปล่อยให้มันเกิดขึ้น อำนาจของแรงงานกลุ่มนี้จึงเป็นเหมือนเหรียญอีกด้านของความเปราะบางที่พวกเขามี ซึ่งเป็นลักษณะ dialectics ที่สำคัญ</p><p><br /></p><p><br /></p>Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-29073125047435786552016-05-10T04:08:00.001+03:002016-05-10T04:08:45.495+03:00เมืองกับการต่อต้านทุนนิยม<span lang="TH">ผมเชื่ออยู่เรื่องหนึ่งว่าคนเราต้องพยายามใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับการเมืองแบบที่ตัวเองเชื่อ เช่น ถ้าหากเราบอกกับตัวเอง (และสังคมโดยรอบ) ว่าเราต่อต้านระบบทุนนิยมที่มีการครอบงำของบรรษัทขนาดใหญ่ เพราะเห็นผลเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตและกระจายสินค้า ทั้งต่อสิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงานและสุขภาพของเรา เราก็ควรปฏิเสธที่จะสนับสนุนบรรษัทเหล่านี้ อย่างน้อยในทางตรง คือ ลดและเลิกการอุดหนุนบรรษัทเหล่านี้ และสนับสนุนทางเลือกที่กำหนดพัฒนาหรือเกิดขึ้นแล้ว</span><br />
<span lang="TH"><br /></span><span lang="TH">อย่างไรก็ดี ความสามารถในการปฏิเสธของคนแต่ละคน ถูกกำหนดจากชุดของเงื่อนไขที่ต่างกันไป โดยเฉพาะฐานะทางเศรษฐกิจ ทางเลือกในการใช้ชีวิต ข้อมูลที่ได้รับและความตระหนักต่อปัญหา ฯลฯ</span><br />
<span lang="TH"><br /></span><span lang="TH">ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวพันกันและกำหนดซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง และผมเชื่อว่ามันเกี่ยวข้องกับชนชั้นทางสังคมที่คนแต่ละคนสังกัด </span><span lang="TH">ในแง่ที่ว่า</span>คนชนชั้นทำงานย่อมมีเงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจที่บีบรัดมากกว่า เช่น รายได้ เวลาในการจับจ่ายซื้อของและประกอบอาหาร รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งอาหารทางเลือกที่จำกัด เป็นต้น ดังนั้น คนชนชั้นทำงานจึงน่าจะมี "ชุดของเครื่องมือในการปฏิเสธและต่อรอง" ที่น้อยกว่าคนชนชั้นอื่น<br />
<br />
หากเรามองในระดับชีวิตประจำวัน ความไม่สามารถต่อรองและต่อต้านกับการคุกคามของทุนอุตสาหกรรมที่ใกล้ชิดกับเราที่สุด คือทุนอุตสาหกรรมอาหาร ถูกแสดงออกให้เห็นชัดเจนในแง่ของสุขภาพและโอกาสเสี่ยงต่อโรคสมัยใหม่<br />
<br />
เมื่อเราดูข้อมูลเกี่ยวกับผลเสียของอาหารสำเร็จรูปรวมทั้งฟาสต์ฟู้ดส์ (ในอเมริกา) ประกอบ จะเห็นว่า ครอบครัวคนชั้นทำงานอเมริกันมีป่วยด้วยโรคอ้วน รวมทั้งโรคเบาหวานมากกว่าคนชนชั้นอื่น โดยไม่ต้องพูดถึงการมีเวลาเพิ่มหรือสามารถปรับตารางเวลาเพื่อออกกำลังกาย อันนั้นเป็นอภิสิทธิ์ที่คนชนช้ันแรงงานไม่มีอยู่ในชุดเครื่องมือของพวกเขา<br />
<br />
ทั้งนี้ ต้องให้ข้อสังเกตว่า ในอเมริกา คนที่มีรายได้ประจำจะถูกเรียกว่าชนชั้นกลาง ส่วนชนชั้นแรุงงานที่ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน และได้รับรายได้ต่ำว่าค่าจ้างขั้นต่ำ จะถูกเรียกว่าชนชั้นแรงงานหรือชนชั้นล่าง ในที่นี่ ผมใช้คำว่าชนชั้นแรงงานที่กว้าง และบ่อยครั้งครอบคลุมทั้งสองกลุ่มนี้ แต่ป้ายนี้จะยึดหยุ่นไปตามมาตรวัดและสภาพการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ<br />
<br />
<span lang="TH">ตอนนี้ ผมอยากเน้นไปที่ปัจจัยเชิงภูมิศาสตร์ และอยากเน้นให้เห็นว่าปัจจัยเชิงภูมิศาสตร์เช่น</span>พื้นที่ทางกายภาพและชุมชนทางสังคมมีส่วนสร้างและเป็นอุปสรรคสำหรับการพัฒนาชุดเครื่องมือของการต่อรองและปฏิเสธยังไง<br />
<br />
นักภูมิศาสตร์เมืองอย่างเดวิด ฮาร์วีย์ได้เสนอไว้ใน Social Justice and The City ว่าทำเลที่ตั้งของที่อยู่ของคนเรา (โดยเฉพาะในเมืองและในระดับความสัมพันธ์กับเมือง) มีส่วนทำหน้าที่ "กระจายรายได้ที่แท้จริง" ให่้กับคนชนชั้นทำงานในแบบที่ต่างจากชนชั้นอื่น<br />
<br />
กล่าวคือ ฐานะทางเศรษฐกิจเปิดโอกาสให้คนชนชั้นกลาง (ระดับสูงขึ้นไป) สามารถเลือกที่จะอาศัยในเขตที่มีอากาศดีกว่า (ในเชิงเปรียบเทียบ) และเข้าถึงสินค้าสาธารณะเช่น ความปลอดภัยทางทรัพย์สิน รวมถึงเครือข่ายของการคมนาคมที่สะดวกกว่าคนชนชั้นทำงาน ในทางกลับกัน ทางเลือกในการเลือกทำเลที่อยู่ของคนชนชั้นทำงานนั้นก็ถูกกำหนดจากความจำเป็นในการเข้าหาแหล่งงาน แรงกดดันจากค่าเช่า บริการขนส่งมวลชนที่มีอยู่ เป็นต้น<br />
<br />
ในแง่นี้เราจะเห็นว่า ทั้งความสามารถในการเคลื่อนย้ายในเชิงกายภาพของเรา และความสามารถในการควบคุมและบริหารเวลา สัมพันธ์กับสังกัดชนชั้นทางสังคมของเราอย่างลึกซึ้ง<br />
<br />
การอธิบายแนวคิดเรื่องการกระจายรายได้ที่แท้จริงโดยทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยของฮาร์วีย์ เป็นหน้าต่างสำคัญที่ช่วยให้เรามองเห็นความเชื่อมโยงของปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขกำหนดความสามารถในการปฏิเสธและการต่อรองโดยผ่านการบริโภค (ส่วนในปริมณฑลของการผลิตเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สัมพันธ์กัน แต่ขอไม่พูดถึงตอนนี้) ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ของการต่อสู้ดิ้นรนที่สำคัญของแรงงานไป<br />
<br />
<span lang="TH">อย่างไรก็ดี จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ใช่ว่าจะสะท้อนให้เห็นเพียงข้อจำกัดของชนชั้นแรงงานเท่านั้น</span><br />
<span lang="TH"><br /></span>โอกาสในการขยายชุดเครื่องมือนี้ ก็สามารถเกิดขึ้นได้จากการรวมกลุ่ม เพื่อสร้างอำนาจการต่อรองแบบรวมหมู่ในเรื่องสินค้าหรือบริการสาธารณะ โดยชุมชนได้เหมือนกัน (นักสังคมวิทยาเมืองอย่างมานูเอล คาสเตลส์ ได้พูดถึงแนวคิดเรื่อง collective struggle over urban public goods ในงานยุคแรกๆ ของเขา)<br />
<br />
ทางออกหนึ่งในเชิงหลักการคือ ชนชั้นแรงงานจะเพิ่มความสามารถในการต่อรองและปฏิเสธจากการแบ่งปันชุดเครื่องมือที่เป็นแบบรวมหมู่ หรือพูดอีกแบบหนึ่งคือ ใช้ชุดเครื่องมือร่วมกันในระดับชุมชนนั่นเอง<br />
<br />
<span lang="TH">ในทำนองเดียวกัน สำหรับคนงานระดับสองหรือสาม อย่างเช่น คนงานข้ามชาติ ที่การเคลื่อนย้ายและการรวมกลุ่มกันก็ถูกจำกัดมากกว่าคนงานชาติ ย่อมมีชุดเครื่องมือที่เล็กกว่า และหากคนกลุ่มนี้ ไม่ได้เข้าถึงทรัพยากรอาหารนอกระบบตลาด ก็ย่อมได้รับผลกระทบแง่ลบต่อคุณภาพชีวิตอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง</span><br />
<span lang="TH"><br /></span><span lang="TH">ในระบบเศรษฐกิจที่ทุนอุตสาหกรรมขยายตัวและพัฒนาไปเป็นทุนภาคบริการ (การแลกเปลี่ยนและการกระจายสินค้า) การขูดรีดผ่านทางการบริโภคต่อคนชั้นแรงงานจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว</span><br />
<div>
<span lang="TH"><br /></span></div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-21923851642988430692014-12-14T23:58:00.000+02:002014-12-15T02:37:52.101+02:00บทความแปล ใครขโมยวันทำงานสี่ชั่วโมง<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIiHiZp4EfPT6bt3ptzVKh-DWP2AjWW1y-OUsRtMiiHz66hcrWp_BciwlAvPnWYkOCQpiifSfwKzPQ2OJEMOBLKmAlwjBTVlEjMiNW6BwpORjVC6S2MtL3nvF3KizEhTHLnXqB/s1600/get-out.jpg"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIiHiZp4EfPT6bt3ptzVKh-DWP2AjWW1y-OUsRtMiiHz66hcrWp_BciwlAvPnWYkOCQpiifSfwKzPQ2OJEMOBLKmAlwjBTVlEjMiNW6BwpORjVC6S2MtL3nvF3KizEhTHLnXqB/s1600/get-out.jpg" width="529" /></a><br />
<span style="font-size: x-small;">ภาพจากแผ่นปลิวรณรงค์ของ IWW ช่วงทศวรรษ 1930-1940</span><br />
<br />
<div>
อเล็กซ์เป็นคนงานยุ่ง ด้วยสถานะของสามีในวัน 36 และพ่อของลูกสาม เขาต้องเดินทางระยะทางไกลไปทำงานประจำทุกวันที่บริษัทเทเลคอมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองเดนเวอร์ เมืองที่เขาย้ายเข้ามาจากบ้านเกิดในประเทศเปรูตั้งแต่ปี 2003 <br />
<br />
ในเวลากลางคืน เขายังมีเรียนหรือการบ้านจากหลักสูตรปริญญาตรีด้านสังคมศาสตร์ที่เขากำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเสียงปลุกจากนาฬิกา เขาตื่นนอนตอนตีห้าเป็นประจำทุกวัน และเป็นเวลาหลังจากทานอาหารเช้าและชำเลืองดูข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ ที่เขามีโอกาสทำตามหน้าที่ของเขาในฐานะนักจัดตั้งเพียงคนเดียวในสหรัฐฯ และเว็บมาสเตอร์ของโกลบอลแคมเปญ สำหรับการรณรงค์ในระดับสากลเพื่อวันทำงานสี่ชั่วโมง<br />
<br />
"ผมพยายามติดต่อกับองค์กรต่างๆ" เขากล่าว "ถึงแม้ เอาเข้าจริง ผมไม่มีเวลาเลย"<br />
<br />
แต่อเล็กซ์มีแผนการณ์ใหญ่ ปลายปีที่สิบของการรณรงค์เขาวาดภาพ "ขบวนการเคลื่อนไหวที่น่าตื่นเต้นมากๆ" พร้อมกับสาขาทั่วโลกประสานงานกันจนเกิดการหยุดงานที่ต้องการ<br />
<br />
หนึ่งร้อยปีที่แล้ว ปฎิบัติการแบบนี้แทบจะดูเหมือนว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร เป็นเวลาหลายสิบปีที่ขบวนการแรงงานในสหรัฐฯ ใช้ท้องถนนเป็นพื้นที่ในการเรียกร้องวันทำงานแปดชั่วโมงโดยการประท้วงของคนงานนับแสนคน นั่นเป็นเพียงอีกก้าวหนึ่งของการค่อยๆ ลดชั่วโมงการทำงาน ซึ่งคาดหมายกันว่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ก่อนหน้าสงครามการเมือง (ประมาณพ.ศ. 2404-2408) คนงานหญิงในโรงงานของเมืองโลเวล แมสซาชูเซทส์ ได้ต่อสู้เพื่อลดชั่วโมงการทำงานจากสิบสองหรือมากกว่านั้นลงเหลือสิบชั่วโมง ต่อมา เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ปะทุขึ้น (ประมาณทศวรรษ 2470) สหภาพแรงงานเรียกร้องชั่วโมงทำงานที่สั้นลงเพื่อให้เกิดการกระจายงานที่น้อยลงออกไปและเพื่อป้องกันการปลดจากงาน บริษัทใหญ่อย่างเคลล็อกก็สมัครใจที่จะทำตามข้อเรียกร้องนั้น แต่ในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้น ระบบการทำงานแปดชั่วโมงก็หยุดชะงัก และทุกวันนี้ คนงานส่วนใหญ่ต้องทำงานมากกว่าแปดชั่วโมง<br />
<br />
ขณะนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในกลุ่มของประเทศร่ำรวยที่มีชั่วโมงการทำงานต่อปีมากที่สุด คนงานสหรัฐฯต้องทำงานกว่าสามร้อยชั่วโมงต่อปีมากกว่าคนงานในประเทศยุโรปตะวันตก ด้วยสาเหตุหลักคือการขาดวันหยุดที่ได้รับค่าจ้าง (คนงานเยอรมันทำงานน้อยชั่วโมงกว่าคนงานอเมริกันมาก ขณะที่คนงานกรีกทำงานยาวนานกว่ามาก) ผลิตภาพของคนงานเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเท่าตัวหลายครั้งตั้งแต่ 1950 แต่รายได้ยังคงอยู่กับที่ นอกจากเราจะพิจารณาคนรวยที่รวยเพิ่มขึ้นมาก มูลค่าที่เกิดจากผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นนั้น สุดท้ายก็ต้องไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง (และคำตอบ คือตกไปอยู่ในมือคนรวย)<br />
<br />
มันแทบจะเป็นเรื่องสามัญสำนึกที่ว่าความรุดหน้าทางเทคโนโลยีจะทำให้เกิดเวลาการพักผ่อนเพิ่มขึ้น เบนจามิน แฟรงคลิน อดีตปธน.ของสหรัฐฯ เคยตั้งสมมุติฐานว่า "ถ้าชายและหญิงทุกคนทำงานที่เป็นประโยชน์ให้ได้สี่ชั่วโมงในแต่ละวัน แรงงานเหล่านั้นจะสร้างผลผลิตมากพอสำหรับสนองความต้องการที่มี รวมทั้งให้ความสบายในชีวิต" นิยายวิทยาศาสตร์มักจะทำนายภาพของอนาคตที่ชั่วโมงการทำงานสั้นลงกลายเป็นกฎเกณฑ์ที่ยอมรับทั่วไป นิยายขายดีของเอ็ดเวิร์ด เบลลามีในปี 1888 (พ.ศ.2431) ที่ชื่อ Looking Backward (มองกลับไปในอดีต) อธิบายว่าในปี 2000 ผู้คนจะทำงานประมาณสี่ถึงแปดชั่วโมง สำหรับงานที่น่าเบื่อก็จะต้องการเวลาน้อยลง ในบริบทของนิยาย Star Trek งานที่เกิดขึ้นก็เพื่อการพัฒนาตนเอง ไม่ใช่เพื่อความจำเป็นทางวัตถุ ในภาพยนต์ Wall-E หุ่นยนต์ทำงานทุกอย่าง ขณะที่มนุษย์กลายเป็นก้อนเนื้อเฉื่อยๆ ที่นอนแผ่นเป็นโซฟาไร้แรงโน้มถ่วง<br />
<br />
ในช่วงระหว่างการต่อสู้ที่เข้มข้นเพื่อวันทำงานแปดชั่วโมงในทศวรรษ 1930 (ประมาณทศวรรษ2470) คนงานกลุ่ม Industrial Workers of the World (IWW) ก็มีแผ่นปลิวการ์ตูนสำหรับสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าจะเป็นก้าวต่อไป วันทำงานสี่ชั่วโมง สัปดาห์ทำงานสี่วันและค่าแรงที่คนมีชีิวิตอยู่ได้ <br />
<br />
การรณรงค์ของ IWW ตั้งคำถามว่า "ทำไมจะเกิดขึ้นไม่ได้?"<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEhT7Gqgth4TW3xl0WzBoS0vg7FpWKP6xUdAuW_gFkLURiuD8g6yWVo727kxGJ1gq36iyRMBJyvl1CfrRmwC-eohlQIR3TZMnOGoeQU8YZt9CdI6sd4RX3c6ErUPhS0cswPcfd6lXMrruSW4g-GGvMJnLQoFXtgUIX8OEX1EJcDRAhxP0wC4oGXUhgChDlF08muW14iqziuU6hqm=" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" src="http://scs-assets.s3.amazonaws.com/int/v21n8/htdocs/who-stole-the-four-hour-workday/why-not.jpg" height="640" width="369" /></a><br />
<br />
มันเป็นคำถามที่ดี วันทำงานสี่ชั่วโมงพร้อมกับค่าจ้างที่มีชีวิตอยู่ได้สามารถแก้ปัญหาจำนวนมากที่มีส่วนรบกวนชีวิตของเราที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากทุกคนทำงานน้อยชั่วโมงลง จะมีงานให้ทำมากขึ้นสำหรับคนที่ตกงาน เศรษฐกิจอาจจะไม่สามารถผลิตได้มากเท่าที่เป็นอยู่ ซึ่งก็หมายความว่ามันจะไม่สามารถสร้างมลพิษได้มากเท่านี้ด้วย ประเทศร่ำรวยที่คนทำงานน้อยชั่งโมงลงมีแนวโน้มจะลดรอยเท้าคอร์บอนลง งานน้อยลงหมายถึงมีเวลาเหลือให้กับครอบครัวและการดูแลเด็ก จบปัญหาเรื่อง "สมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน" สิ่งที่จะหายไปคือปัญหาทำงานมากเกินไป ที่มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวานและอัลไซเมอรส์อีกด้วย<br />
<br />
เบนจามิน ไคลน์ ฮันนีคัตต์ (ฺBenjamin Kline Hunnicutt) นักประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยไอโอวา ได้อุทิศชีิวิตการทำงานของเขาในการแก้ไข "การสูญเสียความจำระดับชาติ" เกี่ยวกับสิ่งที่เคยเป็นฝันของคนอเมริกันในการมีเวลาว่างเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาหยุดงานในสุดสัปดาห์ตามหลักศาสนาของชาวยิว ฯลฯ หนังสือล่าสุดของดร.ฮันนีคัตต์ เวลาว่าง (Free Time) ตามรอยว่าความฝันนี้ได้เปลี่ยนจากส่ิงที่คนเคยเชื่อว่าเป็นเรื่องจะเกิดขึ้นแน่นอนเนื่องจากเทคโนโลยี กลายเป็นข้อเรียกร้องหลักในศตวรรษของการต่อสู้ของแรงงาน จนกระทั่งเลือนหายไปในสภาพฝันร้ายของปัจจุบันที่งานคุกคามเข้ามาในทุกชั่วโมงของชีวิต<br />
<br />
"ฝันเหล่านี้กลับกลายเป็นถูกลืมหมดสิ้น และหายไปในการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเพื่องานและเงิน" ดร.ฮันนีคัตต์ตัดพ้อ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
มีสัญญาณเตือนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในบทความของนักเศรษฐศาสตร์เลื่องชื่อ จอหน์ เมยนารด เคนส์ ที่เขียนขึ้นในปี 1930 ชื่อ "ความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจสำหรับรุ่นหลายของพวกเรา (Economic Possibilities for Our Grandchildren)" <br />
<br />
ประมาณปี 2030 เคนส์คาดว่าจะเกิดระบบของ "การว่างงานทางเทคโนโลยี" ที่ซึ่งเราจำเป็นต้องทำงานน้อยถึงขนาดสิบห้าชั่วโมงต่อสัปดาห์ และนั่นเพื่อป้องกันไม่ให้เราเสียสติจากการมีเวลาว่างมากเกินไป ยังไงก็ตาม ในระหว่างนี้ "ความโลภ การขีดรีดดอกเบี้ยและความระมัดระวังจะเป็นพระเจ้าของเราไปพลางก่อน" เคนส์เชื่อว่า "เพื่อที่จะนำทางเราออกจากอุโมงของความจำเป็นทางเศรษฐกิจสู่แสงสว่าง"<br />
<br />
ด้วยความเชื่อนี้ เขาได้เสนอว่าเราควรทำสัญญากับปีศาจ เชื่อมั่นในความโลภไปอีกนิด และมันจะทำให้รอดพ้นจากตัวเราเอง เพื่ออธิบายส่ิงนี้ เคนส์ได้ตั้งข้อสังเกตที่เหยียดคนยิว (anti-semitic) ว่าเพราะพระเยซูของยิวได้นำทางสู่ชีวิตอมตะมาสู่โลกนี้ อัฉริยะของชาวยิวในการคำนวณดอกเบี้ยจะทำให้เกิดความมั่งคั่งที่สามารถนำพวกเราออกไปจากการเป็นทาสของระบบค่าจ้างอย่างถาวร อย่างไรก็ตาม เคนส์ไม่ได้คาดเอาไว้ว่าปีศาจจะมีอำนาจต่อรองเหนือ เหมือนกับในสัญญากับปีศาจส่วนใหญ่ ความโลภได้จัดการดูดซับผลประโยชน์ทั้งหมดออกไปจากความรุดหน้าทางวิทยาการ<br />
<br />
ดร.ฮันนีคัตต์ใช้เวลาส่วนใหญ่ของงานในการเก็บรายละเอียดว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร ตลอดช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ แรงกดดันจากนักอุตสาหกรรมใหญ่ได้ทำให้ปธน.รูสเวลท์หันมาต่อต้านระบบชั่วโมงทำงานที่สั้นลง รูสเวลท์ทำให้กฎหมาย Black-Connery Bill สำหรับการทำงานสามสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่ผ่านสภาสูงต้องตายในสภาล่าง ด้วยความช่วยเหลือจากแนวคิดของเคนส์เองในเรื่องงบประมาณรายจ่ายขาดดุล นโยบายนิวดีลของปธน.รูสเวลท์ตั้งเป้าหมายของการจ้างงานทุกคน "เต็มเวลา" และกฎหมาย Fair Labor Standard Act ในปี 1938 บัญญัติวันทำงานแปดชั่วโมงเป็นบรรทัดฐาน นั่นคือการลดชั่วโมงการทำงานครั้งสุดท้ายของศตวรรษ การเกิดขึ้นของสงครามเย็นหมายถึงขบวนการแรงงานที่เรียกร้องการทำงานน้อยชั่วโมงลงถูกตีตราว่าเป็นพวกหัวรุนแรงต้องการล้มระบบและคอมมิวนิสต์ คนงานน้อยลงเรื่อยๆ สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ทุกชั่วโมงของงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมากขึ้น ขณะที่ชนชั้นเจ้าของปัจจัยเขมิบเอาส่วนแบ่งของประโยชน์ไปมากกว่าที่เคยเป็น<br />
<br />
ความฝันแบบอเมริกันใหม่เข้าแทนที่ความฝันอันเก่า แทนที่จะเป็นเวลาว่าง หรือการอดออม การบริโภคกลายเป็นหน้าที่ของผู้รักชาติ บรรษัทธุรกิจสามารถหาข้ออ้างในการทำทุกอย่าง ตั้งแต่การทำลายสิ่งแวดล้อมไปจนถึงการสร้างคุก เพียงเพื่อเสกให้เกิดงานให้ทำมากขึ้น การศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์ ที่เริ่มแรกมีเพื่อที่จะเตรียมคนสำหรับใช้เวลาว่างอย่างชาญฉลาด ถูกแปลงโฉมให้เป็นระบบการฝึกงานที่ไร้ประสิทธิภาพและราคาแพง อย่างที่เคนส์คิดว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุผลที่จะทำ เราได้หยุดจินตนาการว่ารุ่นหลานของพวกเราอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าพวกเรา พวกเราได้แต่หวังว่าพวกเขาจะมีงานทำ บางที ถึงกับเป็นงานที่พวกเขาชอบ<br />
<br />
ความฝันใหม่ของการบ้างานได้เข้ามายึดครองพวกเราอย่างมั่นคง แทบไม่มีใครพูดถึงการคาดหวังหรือแม้กระทั่งว่าเราสมควรจะมีวันทำงานที่สั้นลงอีก ที่ดีที่สุดที่เราหวังได้คืองานที่สมบูรณ์ งานที่บังเอิญเป็นงานที่เรารัก ในการตามหาความฝันนี้อย่างบ้าดีเดือด เราไม่แม้แต่จะเสียสละรวมตัวกับพวกรวมงานของเรา เราถูกทำให้คิดถึงตัวเองอย่างเลวร้ายว่าถ้าเรามีเวลาว่างมากขึ้น เราก็จะผลาญเวลานั้น<br />
<br />
ยิ่งเราถูกสอนให้บูชางานมากเท่าใด มันยิ่งมีค่าน้อยลงทุกที ตอนที่ผู้หญิงเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน รายจากสองแหล่ง (ชายและหญิง) เริ่มกลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการสนับสนุบครอบครัว และผู้หญิงยังคงติดแหง็กกับงานบ้านมหาศาลและการดูแลลูก งานล่วงเวลากลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนจำนวนมาก และการมีงานพาร์ทไทม์โดยปกติหมายถึงการทำงานอื่นอีกหนึ่งหรือสองงาน<br />
<br />
"คนงานบางคนมีชั่วโมงการทำงานที่สั้นลง แต่สิ่งที่พวกเราไม่มีคืองานที่มั่นคง" แคเรน นอซบัม (Karen Nussbaum) ประธานของ Working America องค์กรร่วมของสหภาพ AFL-CIO กล่าว <br />
<br />
ในสิ่งที่เหลืออยู่สำหรับขบวนการแรงงาน แทบไม่มีใครอยากเสียเวลาเรียกร้องวันทำงานที่สั้นลง มันยากพอที่จะได้ค่าแรงที่พอยังชีพ วันลาหยุดที่ได้รับค่าแรง เวลาพักร้อนอีกนิด รวมทั้งวันลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาที่เธอเริ่มจัดตั้งคนงานหญิงในทศวรรษ 1970 นอซบัม กล่าวว่า "วิกฤตมันแตกต่างกัน มันรุนแรงขึ้นและมันแผ่กระจายมากขึ้น"<br />
<br />
<br />
<br />
แน่นอนว่าคุณคงเคยได้ยินถึงสัปดาห์ทำงานสี่ชั่วโมง หรืออย่างน้อยคุณอาจได้เห็นมันในร้านหนังสือของสนามบิน ที่นักธุรกิจมักแอบชำเลืองมองแบบเลียบเคียงที่ปกราวกับมันเป็นคาตาล็อกขายชุดชั้นในสตรี มันเป็นมนต์เสน่ห์ขายดีที่ค่อนข้างเหงา กับความหวังที่ว่าหากเราทำงานอย่างฉลาดขึ้น ไม่ใช้หนักขึ้น เราอาจจะร่วมกับผู้แต่ง ทิโมธี เฟอร์ริสส์ (Timothy Ferris) ในกลุ่ม "คนรวยใหม่" ที่มีเงินลงทุนหนาและการดูแลรักษาตัวเองพอสมควร มันสามารถเกิดขึ้น แค่กับผู้โชคดีไม่กี่คนในบรรดาคนขี้แพ้นับล้านกว่าๆ ที่หลงซื้อหนังสือนี้<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEhT7Gqgth4TW3xl0WzBoS0vg7FpWKP6xUdAuW_gFkLURiuD8g6yWVo727kxGJ1gq36iyRMBJyvl1CfrRmwC-eohlQIR3TZMnOGoeQU8YZt9CdI6sd4RX3c6ErUPhS0cswPcfd6lXMrruSW4g-GGvMJnLQoFXtgUIX8OEX1EJcDRAhxP0wC4oGXUhgChDlF08muW14iqziuU6hqm=" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><br /></a>แนวคิดของวันทำงานสี่ชั่วโมงที่คนงานจิตนาการถึงเมื่อร้อยปีที่แล้วนั้นแตกต่างกัน มันเป็นฝันสำหรับทุกคน เป็นผลที่จะเกิดขึ้นจากความรุดหน้าทางเทคโนโลยี แต่ในหลายทศวรรษตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ทุนนิยมไม่สามารถหยิบยื่นวันทำงานที่สั้นลงให้ ดินแดนแห่งการมีเวลาว่างพักผ่อนแบบที่เราฝันถึง ซึ่งเคยเป็นประเด็นปัญหาด้านเทคโยโลยี วันนี้มันกลายเป็นประเด็นทางการเมือง<br />
<br />
IWW มองว่าวันทำงานที่สั้นลงต้องไม่แลกมาด้วยการตัดค่าแรง อย่างเช่นคำที่ปรากฎในแผ่นปลิวอันหนึ่ง "มันคือข้อเรียกร้องแห่งการปฏิวัติ (THE Revolutionary Demand)" องค์กรแรงงานที่รู้จักกันในชื่อ "ว็อบบลี่ (Wobblies)" ตระหนักว่าชั่วโมงทำงานที่ลดลงจะเป็นหลักประกันว่าคนงานจะได้ตักตวงจากความรุดหน้าแทนที่จะปล่อยให้ความมั่งคั่งไหลล้นขึ้นข้างบน เพื่อที่ให้ได้มาซึ่งวันทำงานแปดชั่วโมงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คนงานตัดไม้ที่จัดตั้งโดย IWW ในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ เป่านกหวัดและเดินออกจากงานเมื่อครบแปดชั่วโมงของการทำงาน แผ่นปลิวเร็วๆ นี้ของ IWW เสนอว่าแท็กติกอีกอันหนึ่งที่จะช่วยเน้นให้เห็นผลกระทบของวันทำงานที่ยาวนานต่อครอบครัวคือ ให้ลูกหลากของคนงานถือป้ายประท้วงหน้าที่ทำงาน เพื่อชี้ให้เห็นว่าพวกเขาคิดถึงพ่อแม่ของพวกเขาแค่ไหน<br />
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgVZkPFvboFMo9eefccwwHaw0stlRuxnA7g517KLRNzU-fAnhFLPl5sjWqJ_8iSl7mrD4VFEIFa21xx8IRbnnql3BzQOXV8w5YAjrUc6aDVujfMViuX_yyF0QjeXcGJqrr4G2zT/s1600/workday-sun.jpg"><img border="0" height="280" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgVZkPFvboFMo9eefccwwHaw0stlRuxnA7g517KLRNzU-fAnhFLPl5sjWqJ_8iSl7mrD4VFEIFa21xx8IRbnnql3BzQOXV8w5YAjrUc6aDVujfMViuX_yyF0QjeXcGJqrr4G2zT/s1600/workday-sun.jpg" width="400" /></a><br />
<br />
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ยังมีตัวชี้วัดเล็กน้อยของพัฒนาการที่เกิดขึ้น หลังจากถูกกดดันอย่างมากจากคนงานที่จัดตั้ง ปธน.โอบามาประกาศกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นในเรื่องค่าแรงล่วงเวลา ในปัจจุบัน รัฐบาลประเมินว่ามีคนงานหลายล้านคนที่ต้องเปลี่ยนไปทำงานพาร์ทไทม์แทนที่จะทำงานเต็มเวลา เพราะพวกเขาสามารถซื้อประกันสุขภาพผ่านระบบใหม่ พอล ไรอัน สมาชิกสภาคองเกรสได้แสดงความกลัวอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับระบบประกันสุขภาพที่ถูกลงว่า "แรงจูงใจสำหรับการทำงานจะลดลง" แค่ความคิดว่่่าพวกคนไม่รวยสามารถทำงานลดลง แต่ยังคงมีประกันสุขภาพ ก็ขัดกับความคิดของเขาเกี่ยวกับวิถีแบบอเมริกัน เขายังพูดว่า "มันเพิ่มการดูถูกให้กับบาดแผลที่เกิดขึ้น"<br />
<br />
ดังนั้น วิธีการที่อาจจะปฏิบัติได้จริงที่สุดในการเอาชนะให้ได้วันทำงานที่สั้นลงอาจจะเป็นการแยกสิ่งที่จำเป็น เช่น ประกันสุขภาพ ออกจากการจ้างงาน <br />
<br />
ปีเตอร์ เฟรส (Peter Frase) บรรณาธิการของนิตยสาร Jacobin และผู้สนับสนุนวันทำงานที่สั้นลงที่สามารถที่สุดคนหนึ่ง เรียกร้องให้มีรายได้พื้นฐานสากล (universal basic income) คนที่สามารถดูแลความจำเป็นพื้นฐานที่สุดของตัวเองจะสามารถเลือกสำหรับพวกเขาเองว่าต้องการทำงานเพิ่มเติมมากแค่ไหน นอกเสียจากว่าขบวนการเคลื่อนไหวจะมีพลังมากพอ นักการเมืองและชนชั้นนำก็จะยังคงอ้างว่ามันไม่มีงานมากพอให้กับทุกคน<br />
<br />
คนงานในประเทศที่องค์กรแรงงานเข้มแข็งรู้ดี เมืองโกเธนเบิร์กในประเทศสวีเดน กำลังทดลองใช้วันทำงานหกชั่วโมงสำหรับคนงานขององค์กรปกครองเมือง ขณะที่ในฝรั่งเศส ที่ระบบการทำงานสามสิบห้าชั่วโมงก็เป็นที่ยอมรับทั่วไป สหภาพแรงงานกำลังทดลองกฎที่ต่อต้านการเช็คอีเมล์ที่ทำงานหลังจากชั่วโมงทำงาน<br />
<br />
เครื่องมือที่จะช่วยประหยัดเวลา ซึ่งเบนจามิน แฟรงคลินเคยปรารถนานั้นอยู่ที่นี่แล้ว แต่แทนที่จะถูกใช้เพื่อปลดปล่อยทุกคนจากงาน มันกลับถูกใช้เพื่ออำพรางความโลกของธุรกิจในการแทรกซึมเข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน อาจจะมีคนน้อยกลุ่มมากที่จะยินดีกับการอยู่ที่ทำงานหลังเลิกงานมากเท่ากับพวกวิศวกรของซิลิคอนวัลเลย์ (ย่านไฮเทค ในคาลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ) แต่เอาเข้าจริงแล้ว ใครคือคนได้ประโยชน์จากการนั่งใส่รหัส (โปรแกรมคอมพิวเตอร์) ถึงดึกๆดื่นๆ<br />
<br />
มันก็คงจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันที่ป้องกันไม่ให้ซิลิคอนวัลเลย์ได้มีสหภาพแรงงาน คนที่ไม่สนใจว่าแม่เลี้ยงเดี่ยวจะต้องทำงานสองงาน คนที่หวังจะให้พวกเราเช็คอีเมล์ในการทำงานตลอดเวลา คนที่พูดว่าเราต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจ แทนที่จะปล่อยให้คนว่างงานได้มีส่วนแบ่งเบางานที่จำเป็น <br />
<br />
คนพวกนั้น คนที่เคารพนักแสวงหากำไรอย่างนอบน้อม และคนที่ละเลยที่จะรวมตัวจัดตั้งกับเพื่อนร่วมงาน คือคนที่กำลังขโมยวันทำงานสี่ชั่วโมงไปจากพวกเรา<br />
<br />
แปลโดยเกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร จาก Who Stole the Four-Hour Workday? โดย Nathan Schneider ใน Vice.com (August 2014)</div>
<!-- Blogger automated replacement: "https://images-blogger-opensocial.googleusercontent.com/gadgets/proxy?url=http%3A%2F%2F1.bp.blogspot.com%2F-gPqQ6hkGXuo%2FVI3YM2W_AJI%2FAAAAAAAACN0%2F6elFMbjUo-o%2Fs1600%2Fget-out.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*" with "https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIiHiZp4EfPT6bt3ptzVKh-DWP2AjWW1y-OUsRtMiiHz66hcrWp_BciwlAvPnWYkOCQpiifSfwKzPQ2OJEMOBLKmAlwjBTVlEjMiNW6BwpORjVC6S2MtL3nvF3KizEhTHLnXqB/s1600/get-out.jpg" --><!-- Blogger automated replacement: "https://images-blogger-opensocial.googleusercontent.com/gadgets/proxy?url=http%3A%2F%2F4.bp.blogspot.com%2F-7ZHTVHJmvfk%2FVI3dPY1gB1I%2FAAAAAAAACOE%2FW1Qyvwb38n4%2Fs1600%2Fworkday-sun.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*" with "https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgVZkPFvboFMo9eefccwwHaw0stlRuxnA7g517KLRNzU-fAnhFLPl5sjWqJ_8iSl7mrD4VFEIFa21xx8IRbnnql3BzQOXV8w5YAjrUc6aDVujfMViuX_yyF0QjeXcGJqrr4G2zT/s1600/workday-sun.jpg" --><!-- Blogger automated replacement: "https://images-blogger-opensocial.googleusercontent.com/gadgets/proxy?url=http%3A%2F%2Fscs-assets.s3.amazonaws.com%2Fint%2Fv21n8%2Fhtdocs%2Fwho-stole-the-four-hour-workday%2Fwhy-not.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*" with "https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEhT7Gqgth4TW3xl0WzBoS0vg7FpWKP6xUdAuW_gFkLURiuD8g6yWVo727kxGJ1gq36iyRMBJyvl1CfrRmwC-eohlQIR3TZMnOGoeQU8YZt9CdI6sd4RX3c6ErUPhS0cswPcfd6lXMrruSW4g-GGvMJnLQoFXtgUIX8OEX1EJcDRAhxP0wC4oGXUhgChDlF08muW14iqziuU6hqm=" -->Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-44227954030804845842014-12-14T02:07:00.000+02:002014-12-14T02:16:44.389+02:00การจัดองค์กรการเมืองของคนงาน ตามแนวทางอนาธิปัตย์นิยมการจัดองค์กรการเมือง (และความสัมพันธ์ทางสังคม) ของคนงาน เกี่ยวข้องกับคำถาม<i>ทั้งเชิงแนวคิด-อุดมการณ์และคำถามเชิงปฏิบัติ</i><br />
<br />
ที่ว่าเป็นเรื่องเชิงแนวคิดและอุดมการณ์เพราะคนงาน จำเป็นต้องมีหลักการนำทาง ทั้งในระดับปัจเจก หรือระดับส่วนตัวและในระดับกลุ่มหรือหมู่ ว่าควรเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสถาบันทางสังคมและการเมืองเช่น รัฐบาล พรรคการเมือง นายทุน รวมทั้งกลุ่มทางสังคมและวัฒนธรรมต่างๆ อย่างไร<br />
<br />
และที่ว่าเป็นเรื่องเชิงปฏิบัติเพราะในขั้นตอนของการรวมตัวจัดตั้งนั้น คนงานต้องเผชิญกับความท้าทายในแง่ของกระบวนการ รวมทั้งคำถามพื้นฐานว่า...จะทำอย่างไรที่จะก้าวจากจุดแรกไปสู่จุดต่อไป<br />
<br />
คำถามในแง่กระบวนการที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ก็เช่น ทำอย่างไร สมาชิกจึงจะเกิดความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของในกลุ่มที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะสละเวลาส่วนตัวมาเข้าร่วมประชุม (แน่นอน คำถามสำคัญอีกประการคือ จะทำอย่างไรให้การกำหนดประเด็นการประชุม เกิดขึ้นจากกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย), ผู้ดำเนินการจัดตั้งควรทำและ/หรือหลีกเลี่ยงไม่ทำอะไร เพื่อให้สมาชิกรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มที่เกิดขึ้น รู้สึกว่าได้รับความเคารพ ว่าเสียงและความต้องการของพวกเขาถูกได้ยิน ฯลฯ<br />
<br />
ดังนั้น คำถามเชิงปฏิบัติจึงมีส่วนที่เป็นเชิงวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก เพราะระบบคุณค่า หรือสิ่งที่แต่ละคนเห็นว่าดี ถูกหรือควร ต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ แต่ละสังคม<br />
<br />
<i>หลักการและกระบวนการจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน </i>ในหลายกรณี นักจัดตั้งจะพบว่าความขัดแย้งสามารถเกิดขึ้นจากความเห็นที่แตกต่างกัน ความขัดแย้งนี้อาจมีที่มาจากความเชื่อในหลักการที่แตกต่างกันโดยตรง (หรืออาจเกิดจากสาเหตุว่าสมาชิก<u>ขาดความเข้าใจ</u>ในหลักการ) ในกรณีเช่นนี้ กระบวนการจะช่วยชี้นำให้นักจัดตั้งสามารถจัดการความขัดแย้งในฐานะของกลุ่ม โดยปฏิเสธวิธีการแบบเสียงข้างมากเอาชนะเสียงข้างน้อยได้<br />
<br />
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่องค์ความรู้ในการจัดตั้งคนงาน ทั้งในเชิงแนวคิดและเชิงปฏิบัติในภาษาไทย หาได้ยาก ที่มีอยู่ก็มีเนื้อหาจำกัดอยู่เพียงบางแนวคิด ที่คับแคบ ล้าสมัย ทำให้คนที่สนใจเรื่องนี้ไม่มีทางเลือกมาก<br />
<br />
<i>นั่น<u>ไม่ได้</u>หมายความว่าองค์ความรู้ไม่สามารถเกิดขึ้นจากการทดลองของคนงานเอง</i><br />
ตรงกันข้าม องค์ความรู้จำเป็นต้องเกิดจากกระบวนการเรียนรู้ ทดลองและนำผลที่ได้กลับมาปรับปรุงแนวคิด ทฤษฎีที่เป็นนามธรรมให้สอดรับกับบริบทของพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การทดลองในเชิงประวัติศาสตร์เกิดขึ้นมายาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษครึ่งแล้ว เราสามารถเริ่มต้นจากการต่อเติมขึ้นบนฐานของการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ในจุดยุทธศาสตร์ของการผลิตต่างๆ ในระดับสากล<br />
<br />
เช่น ในเมืองอุตสาหกรรมเช่น ดีทรอยต์ของสหรัฐฯ และตูรินของอิตาลี การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ทำให้เกิดการเงื่อนไขที่เหมาะสมสำหรับการรวมตัวจัดตั้งคนงานในรูปแบบของสหภาพและสภาแรงงานแบบต่างๆ เราจึงสามารถค้นคว้าประวัติศาสตร์ของการทดลองเกี่ยวกับการจัดตั้งคนงานและเริ่มต้นจากการศึกษาและทบทวนบทเรียนจากช่วงเวลาและสถานที่ดังกล่าวได้<br />
<br />
องค์ความรู้ในเชิงแนวคิด ที่หาได้ในภาษาต่างประเทศจึงมีพัฒนาการตามเส้นทางประวัติศาสตร์การพัฒนาของระบบทุนนิยม <i>ความท้าทายสำหรับผู้ศึกษาน่าจะมาจากการทำความเข้าใจบริบทแวดล้อมที่มักเลือนลางและตกหล่นไปตามกระแสธารของเวลา</i> ที่สำคัญ บันทึกของนักจัดตั้งที่เป็นคนงานสามัญธรรมดามักไม่สามารถแทรกตัวผ่านเข้าไปอยู่ในหอจดหมายเหตุขององค์ความรู้กระแสหลัก ที่ได้รับการรักษาดูแลอย่างดีจากชนชั้นนำ (ที่มีประโยชน์ผูกโยงอย่างแน่นแฟ้นกับการรักษาความรู้เชิงประวัติศาสตร์บางเรื่องบางตอน)<br />
<br />
ในประวัติศาสตร์ของการจัดองค์กรคนงานอุตสาหกรรม สององค์กรที่มีความโดดเด่นในแง่ของการนำเสนอแนวคิดเชิงอุดมการณ์และเชิงปฏิบัติ ตามแนวทางของการนำโดยคนงานและเพื่อคนงาน คือ National Confederation of Labour หรือชื่อในภาษาสเปน Confederation Nationale de Trabajo (CNT) ของคนงานสเปน และ Industrial Workers of the World (IWW) ที่เริ่มต้นโดยคนงานอเมริกัน<br />
<br />
ทั้งสององค์กรเป็นทั้งองค์กรเชิงประวัติศาสตร์ และองค์กรร่วมสมัยที่ยืดมั่นในหลักการเรื่องอิสระของคนงานจากรัฐ ทุนและจากการครอบงำของผู้นำขบวนการแรงงาน นอกจากนี้ เคารพในความเสมอภาคของคนงานด้วยกัน ไม่ว่าจะมีเพศ สีผิวหรือเชื้อชาติอย่างไร ที่สำคัญ ทั้งสององค์กรยังเชื่อมั่นในรูปแบบการจัดองค์กรทางการเมืองแบบล่างขึ้นบน อิสระจากการรวมศูนย์อำนาจและรูปแบบสหพันธ์ที่เคารพความหลากหลายของคน<br />
<br />
ในประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ สมาชิกขององค์กรคนงานทั้งสองมักได้รับการตีตราจากรัฐ ฝ่ายทุนและสื่อของทุนว่าเป็น <i>"ผู้ก่อการร้าย"</i> ชื่อเสียนี้มีที่มาจากอุดมการณ์ในการ<u>ไม่ประณีประนอม</u>กับทั้งฝ่ายรัฐและทุน และที่สำคัญ มาจากความเชื่อมั่นใน<u>หลักการของการกำหนดชีวิตตนเองด้วยตนเอง</u><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2648Ju5rXyFtCr6mIAz7n0t5kiGcgzTkzcwk-nXphRv7RGz7SYSx9U7LDA0bcE0zslmUa0PQZRDFnmq-_JaRRtYfCIQAmA1GbAIxRcUmOYDWnCEBPqODTXCPHfewz2nsGuzMi/s1600/solidcircleA.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2648Ju5rXyFtCr6mIAz7n0t5kiGcgzTkzcwk-nXphRv7RGz7SYSx9U7LDA0bcE0zslmUa0PQZRDFnmq-_JaRRtYfCIQAmA1GbAIxRcUmOYDWnCEBPqODTXCPHfewz2nsGuzMi/s1600/solidcircleA.jpg" /></a></div>
<br />
CNT ก่อตั้งขึ้นในปี 1910 (พ.ศ.2453) มีบทบาทอย่างมากช่วงสงครามกลางเมืองของสเปนและภายใต้การปกครองของเผด็จการ นายพลฟรังโก้ ในการจัดตั้งชนชั้นแรงงานเพื่อต่อสู้กับระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ ขณะที่ IWW นั้น ก่อตั้งในปี 1905 (พ.ศ.2448) และมีบทบาทในการสร้างความตระหนักและจัดตั้งคนงานอเมริกันทุกสาขาอาชีพเข้าอยู่ในขบวนการแรงงานเดียวกัน ในช่วงเวลาที่สหภาพแรงงานในฐานะองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมายยังไม่ได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในวันนี้ IWW มีบทบาทสูงในการจัดตั้งคนงานกลุ่มใหม่ในสังคม คือ คนงานอุตสาหกรรมบริการในสาขาอาหารและเครื่องดื่ม ที่ถูกมองว่า "ไม่สามารถจัดตั้งได้"<br />
<br />
ในเอกสารแผ่นพับของ CNT ที่แจกเพื่อให้ความรู้กับสมาชิกใหม่สหภาพ (ในปี 2541) ได้ระบุเป้าหมายขององค์กรไว้ว่า<br />
<br />
<ul>
<li>เป้าหมายของการจัดตั้งคนงานทั่วโลก เพื่อปกป้องประโยชน์เฉพาะหน้าของพวกเขา และเพื่อนำมาซึ่งการพัฒนาของคุณภาพชีวิตของพวกเขา การจัดตั้งสหภาพแรงงานก็เพื่อให้บรรลุสิ่งนี้</li>
<li>เพื่อการเกิดขึ้นของโครงสร้างที่ไม่มีทั้งผู้นำและอำนาจบริหาร</li>
<li>ความปรารถนาสำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วของสังคม การเปลี่ยนโฉฒของสังคมที่จะนำไปสู่การปฏิวัติทางสังคม หากปราศจากเป้าหมายของการพลิกโฉมสังคม ลัทธิ anarcho-syndicalism ก็จะไม่สามารถดำรงอยู่</li>
</ul>
<br />
<br />
ผมหวังว่าการคัดเลือกเอาประวัติศาสตร์ อุดมการณ์และแนวคิด รวมทั้งรูปแบบของการจัดตั้งที่ผ่านการทดลองตลอดช่วงหนึ่งศตวรรษของทุนนิยมตะวันตกมาเผยแพร่ในที่นี้ จะทำให้ความสนใจ แรงบันดาลใจและความตระหนักรู้ที่ยังคงเป็นที่ต้องการในสังคมไทย....สังคมอุตสาหกรรมที่กำลังสุกงอมเต็มที่ โดยที่ผู้คนในสังคมยังไม่ทันเฉลียวใจว่า "มนุษย์สายพันธุ์ใหม่" ถือกำเนิดขึ้นทุกนาทีที่เครื่องจักรถูกเปิดดำเนินการ<br />
<br />Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-81786653379451082712013-12-15T02:15:00.000+02:002013-12-15T02:15:24.225+02:00จดหมายถึงสามัญชน <div class="MsoNormal" style="text-indent: .5in;">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ในรอบหลายปีที่ผ่านมา
การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ รวมทั้งกลุ่มผลประโยชน์ที่สนับสนุนขั้วอำนาจทั้งสองอยู่
ทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้า (ไม่ว่าจะแอบอ้างว่าทำไปเพื่ออะไรก็ตาม) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
ที่ล้วนแล้วแต่มุ่งพิทักษ์ รักษาประโยชน์ของชนชั้นนำ ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง หาได้มีผลดีกับชีวิตและความเป็นอยู่ของคนธรรมดา
และกรรมกรผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-indent: .5in;">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">พวกเราน่าจะได้ตระหนักกันแล้วว่า ไม่ว่าชนชั้นนำกลุ่มไหน (ในนามของเสื้อสีเหลืองหรือแดงประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทย
ฯลฯ) จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าสู่อำนาจ สภาพความเป็นอยู่ของพวกเรา คนทำงานกินเงินเดือนระดับล่างรวมทั้งกรรมกร
ก็ไม่เคยดีขึ้น มีแต่จะย่ำแย่ลง เพราะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ก็ยังคงเอารัดเอาเปรียบคนจนอย่างที่เคยเป็นมา</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ยิ่งไปกว่านั้น สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ทางความคิดความเห็น ก็มีแต่จะถูกริดรอนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
เพียงเพราะว่าบรรดาชนชั้นนำทั้งหลายยังไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ในขณะที่เกมส์การต่อสู้นี้ยังคงดำเนินต่อไป ดูเหมือนเดิมพันของเกมส์นี้จะยิ่งสูงขึ้น
เมื่อชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่นำโดยประชาธิปัตย์ ได้เอาชีวิตและเลือดเนื้อของคนไทยเข้าวางเพื่อแลกกับอำนาจสำหรับฝ่ายของตน
</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">สามัญชนคนธรรมดาที่เล็งเห็นคุณค่าความเป็นคนของเพื่อนไทยด้วยกัน
(ไม่ว่าพวกเขาจะมีความเชื่ออย่างไร) ก็ยิ่งรู้สึกอับจนสิ้นหนทาง เพราะเหมือนพวกเขาได้กำหนดทางเดินแคบๆ
ที่ตีบตันลงทุกที ลงมาให้พวกเราเดิน</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความมืดมิดและตีบตันนั้น
ดูเหมือนจะมีหน้าต่างบานเล็กๆ ที่เริ่มแย้มแสงสว่างเข้ามา ความบ้าระห่ำของกปปส. ที่ได้ผลักดันให้รัฐบาลที่มาจากวิถีทางประชาธิปไตยต้องถอยร่นจนมุมในทางตันนั้น
กลับทำให้พวกเรา เจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงนั้นได้รับอำนาจกลับคืนมาในมือ</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ถึงแม้ประสบการณ์ลุ่มๆ ดอนๆ ของการเมืองไทยจะสอนพวกเราว่า
การเลือกตั้งเกือบทั้งหมดจะเป็นแค่การไปประทับตรารับรองให้กับนักการเมือง
ที่พอได้รับเลือกตั้งเสร็จก็มักลุแก่อำนาจและใช้อำนาจไปตามอำเภอใจนั้น แต่การเคลื่อนไหวของกปปส.
ก็ได้สร้างเงื่อนไขที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้
มีคุณค่าเกินกว่าที่พวกเราจะละทิ้งและมองข้าม</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">มันจะเป็นการเมืองเชิงสัญลักษณ์ที่พวกเราจะได้ยืนยันถึงความเสมอภาค
และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่พวกเรามี เท่าเท่ากับชนชั้นนำ
ที่กำลังดูหมิ่นดูแคลนสติปัญญาและคุณค่าของพวกเรา</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">นอกจากนี้ ไม่ใช่เพราะการเลือกตั้งหรอกหรือ ที่พวกเราได้ชิมรางรสชาดของอำนาจ
อำนาจที่พวกเราสามารถกำหนดรูปร่างหน้าตาของสังคมผ่านโยบายที่เราต้องการ </span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">เช่นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา
นักการเมืองก็แข่งขันกันเสนอนโยบายเอาใจพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
สำหรับพี่น้องคนใช้แรงงาน หรือนโยบายบริโภคนิยมสำหรับคนชั้นกลางทั่วไป
ที่สำคัญไปกว่านั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด
ดูเหมือนว่าในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้
พวกเราจะได้เห็นการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองของประชาชนอีกหลายพรรค</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ดังนั้น ถึงแม้การใช้สิทธิเลือกตั้งจะไม่ใช่กลไกที่สมบูรณ์
แต่ก็เป็นทางหนึ่งที่พวกเราจะได้ช่วยกันแสดงให้ชนชั้นนำไทยและคนในเมืองบางกลุ่มที่ชอบดูถูกพวกเราได้เห็นว่า
พวกเรานี่แหละที่จะกำหนดชะตาของพวกเราเอง</span><span style="font-size: 14pt; line-height: 115%;">!</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-size: 14pt; line-height: 115%;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-indent: .5in;">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">พวกเราควรได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงเชิงประวัติศาสตร์ร่วมกันว่า
ประชาชนจำนวนมหาศาลที่ไม่สามารถรวมตัวกันได้นั้น
มักต้องถูกปกครองจากผู้ปกครองที่มีเพียงหยิบมือเดียว</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-indent: .5in;">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ในระหว่างสองเดือนนี้ ขอให้พวกเราจงได้หวงแหนอำนาจและช่วยกันยืนยันถึงเจตจำนงค์ที่จะสนับสนุนพรรคการเมืองที่เกิดจากสามัญชน
เพื่อสามัญชน ไม่ใช่ชนชั้นนำ สำหรับคนที่มีกำลัง ก็ขอให้รวมกลุ่มและจัดตั้งกัน
เพื่อแสดงออกและสื่อสารถึงความปรารถนาไปยังพรรคการเมืองเหล่านั้น
ที่มักเล็กและไม่มีอำนาจเงินอย่างเช่นพรรคการเมืองของชนชั้นนำ </span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-indent: .5in;">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ขอให้พวกเราใช้การเลือกตั้งครั้งนี้
เป็นการประกาศถึงความปรารถนาของสามัญชน ให้ชนชั้นนำได้รู้ว่าประเทศนี้ที่แท้จริงเป็นของเรา
</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-91965048209044348892013-08-14T08:48:00.000+03:002013-08-15T11:43:19.597+03:00The Fire of Liberty (3): Elisée Réclus กับปารีส คอมมูน <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEoh00kFmh6yjLeAsx9xOU1p0Qz69Bv_7Azdz0LMSwgOMcACUTSqgcC_bsxTKQdjDAfTGBpr9RthKPXzDwtX0qEjQCa7vvJd0UGYSke0C8iATbk7YsO9Aowjf9RzWgen4cQGDT/s1600/Reclus.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEoh00kFmh6yjLeAsx9xOU1p0Qz69Bv_7Azdz0LMSwgOMcACUTSqgcC_bsxTKQdjDAfTGBpr9RthKPXzDwtX0qEjQCa7vvJd0UGYSke0C8iATbk7YsO9Aowjf9RzWgen4cQGDT/s1600/Reclus.jpg" /></a></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Eli</span><span lang="FR" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-language: FR; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">sée Réclus</span><span lang="FR" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">เกิดในครอบครัว
ที่เคร่งศาสนา (พ่อของเขาเป็นนักบวชนิกายโปรแตสแตนท์)
ในหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในแคว้นดอร์ดอญน์ (</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Dordogne)
</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ประเทศฝรั่งเศส ในปี </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">1830 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;"> อันเนื่องมาจากอาชีพและความสนใจของพ่อ เขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเบอร์ลินเพื่อศึกษาเทววิทยา
(</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Theology</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">) ในปี </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">1851 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ถึงแม้ในขณะที่ศึกษาอยู่ที่นั่น
เขาจะได้เข้าฟังบรรยายที่ได้รับความนิยมของ </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Carl
Ritter </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ศาสตราจารย์ด้านภูมิศาสตร์บ้างก็ตาม
ความสนใจในภูมิศาสตร์นั้นได้ถูกกระตุ้นเพิ่มขึ้นโดยการเดินทางไปยังอเมริกาและไอร์แลนด์
ที่เขาได้พบเห็นกับสภาพความลำบากที่เลวร้ายจากความอดอยาก
ประสบการณ์ซึ่งช่วยเติมเต็มความสนใจ</span>เกี่ยวกับขบวนการสังคมนิยม<span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ให้เพิ่มขึ้น ดังนั้ เมื่อเขากลับไปยังปารีสในปี </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">1857 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ที่ </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Réclus
</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ได้กลายเป็นนักภูมิศาสตร์และนักเคลื่อนไหวแรดิคัล
ที่มีบทบาทในสมาคมภูมิศาสตร์ปารีส </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">(Paris
Geographical Society) </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">มีบทบาทในสมาคมลับ </span><i><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Brotherhood</span></i><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ของ </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Bakunin
</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">และใน </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">the First International</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">อย่างไรก็ตาม ต้องรอจนถึงการวิบัติขึ้นของเหตุการณ์ปารีสคอมมูนที่ทำให้
</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Elisée Réclus </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">และพี่ชายของเขา </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Elie
</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">เริ่มมองตัวเองว่าเข้าสังกัดกับกลุ่ม
</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">libertarian </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">หรืออนาธิปัตย์ ปีกหนึ่งของขบวนการสังคมนิยม ปารีสคอมมูนเริ่มต้นขึ้นในวันที่
</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">18 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">มีนาคม </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">1871 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">เมื่อคนงานในปารีสเข้ายึดอำนาจการปกครองของเมือง
เพื่อต่อต้านระบอบอำนาจนิยมและความยากลำบากที่พวกเขาต้องเจอหลังจากการสถาปนาจักรวรรดิ์ที่สอง
(ของหลุยส์ โบนาปาร์ต) เหตุการณ์ปารีสคอมมูนได้ทำให้เกิดชนชั้นทางสังคมใหม่ เมื่อประชาชนเริ่มแสดงบทบาทใหม่และปกป้องเมืองจากกองกำลังของทหารฝรั่งเศสเอง
เกาะแห่งเสรีภาพในเมืองนี้เป็นจริงขึ้นมาภายในช่วงเวลา </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">73 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">วัน
ซึ่งเสริมกำลังให้กับผู้คนที่กำลังนำสังคมไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
รวมทั้งมอบโอกาสให้ </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"> Réclus</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">
ได้ทดสอบความคิดของตนในทางปฏิบัติการ</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;"> ในการต่อสู้บนท้องถนนที่ทำให้ปารีสคอมมูนต้องสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตาม ประชาชนกว่า </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">25,000 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">คนต้องถูกสังหารและ </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Réclus</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">
เอง เช่นเดียวกับคนอื่น ถูกจองจำและต่อมาต้องลี้ภัยไปอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์
ที่นั่น เขาได้เริ่มเขียนหนังสือภูมิศาสตร์และหนังสือนำเที่ยว
ควบคู่ไปกับแผ่นพับอนาธิปัตย์ ซึ่งทำให้เขามีบทบาทมากขึ้นในขบวนการเคลื่อนไหวระดับสากล
ระหว่าง </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">1876-1894 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">เขาได้ตีพิมพ์ </span><i><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">La Nouvelle Géographie Universelle</span></i><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"> (New Universal Geography) </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ที่มีถึง </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">19
</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">เล่ม และระหว่าง </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">1905- 1908 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ได้ตีพิมพ์
</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">L’Homme et la Terre (Man and Earth) </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">อีก </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">6
</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">เล่ม ตำราภูมิศาสตร์ที่ละเอียดและสมบูรณ์เหล่านี้ได้กลายเป็นที่รวบรวมแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับส่วนต่างๆ
ของโลก ซึ่งในทางการเมืองได้ถูกออกแบบให้แสดงว่าทรัพยากรของโลกนั้นได้ถูกจัดสรรอย่างไรเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของคน
นอกจากนั้น เขายังได้ใช้มันเพื่อท้าทายกลุ่มของนักภูมิศาสตร์ที่ร่วมมือกับจักรวรรดินิยมแสวงหาประโยชน์จากประเทศกำลังพัฒนา
โดย </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Réclus</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">
พยายามใข้ภูมิศาสตร์เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ
ข้ามพรมแดน </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">– </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ลดทอนอำนาจของรัฐจักรวรรดิ์โดยส่งเสริมจิตวิญญาณของมนุษยชนที่เป็นสากลระหว่างประชาชนในรัฐชาติและอาณาบริเวณที่แตกต่างกัน
</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Réclus </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ใช้ภาษาที่สะท้อนถึงข้อกังวลทางสิ่งแวดล้อมในยุคสมัยปัจจุบัน
เขาเน้นให้เห็นถึงวิถีทางที่คนจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับโลกธรรมชาติ (ที่เขาอ้างคำว่า “ดุลยภาพ) วิธีการแบบองค์รวม
</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">(holistic) </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">นี้ต่อมาได้ถูกกดทับโดยแนวทางการศึกษาภูมิศาสตร์ภูมิภาค (</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">regional geography) </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">แบบอื่น แต่ประเด็นในงานของเขายังคงสะท้อนความสนใจในโลกปัจจุบันอย่างน่าเหลือเชื่อ</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;"><br /></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;"> </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Réclus</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;"> ย้ายไปบรัสเซลในช่วง </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">11 </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ปีสุดท้ายของชีวิต
ที่เขามีส่วนร่วมก่อตั้ง </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">New University </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">และตั้งสถาบันภูมิศาสตร์ (</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">Geographical Institute) </span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ที่นั่นในปี </span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">1898
</span><span lang="TH" style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 18.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 14.0pt;">ที่นั่น
เขาได้ให้บรรยายและกวดวิชาโดยไม่คิดเงิน
รวมถึงทำงานวิจัยและงานเขียนอย่างต่อเนื่องเพื่อจุนเจือครอบครัว เขาได้เสียชีวิตลงในปี
</span><span style="font-family: "DilleniaUPC","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-font-size: 18.0pt;">1905<o:p></o:p></span></div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-44260991213307229332013-08-13T11:23:00.000+03:002013-08-13T11:24:51.534+03:00The Fire of Liberty (2): ชีวิตของ Peter Kropotkin (Box 1.2)<br />
เจ้าชาย Peter Alexeivich Kropotkin ถือกำเนิดในยุคขุนนางของรัสเซียในปี 1842 พ่อของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพ เป็นเจ้าของทรัพย์สินใน Moscow และที่ดินที่มีไพร่ติดที่ดิน (serf) กว่า 12,000 คนใน Kaluga เช่นเดียวกับคนอื่นในชนชั้นเดียวกัน Kropotkin ในวัยหนุ่มเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารที่มีชื่อว่า The Corps of Pages (<u>หมายเหตุ</u> pages หมายถึงพลทหารในเครื่องแบบที่ทำงานตามสั่ง รวมทั้งส่งเอกสารและเปิดประตู: ผู้แปล) ตั้งแต่ช่วงต้นวัยรุ่นและเขาได้ทำงานในตำแหน่ง Page de Chambre ให้กับซาร์องค์ใหม่ อเล็กซานเดอร์ที่สอง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimG1RQQQ-nHqtHfVvle8UteA_3zmYGiJqM_mxIAV4i9HhvOz7gFvxhGY0z0Yc61KjVgEsr823voD6SgxwzFGSxjON-LwZuazNEUCUx5CW9TGBSrVeKGoSH5Ttk2PqFzhI7t1IG/s1600/Kropotkin.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimG1RQQQ-nHqtHfVvle8UteA_3zmYGiJqM_mxIAV4i9HhvOz7gFvxhGY0z0Yc61KjVgEsr823voD6SgxwzFGSxjON-LwZuazNEUCUx5CW9TGBSrVeKGoSH5Ttk2PqFzhI7t1IG/s1600/Kropotkin.jpg" /></a></div>
<br />
อย่างไรก็ตาม มันชัดเจนว่า Kropotkin เบื่อหน่ายกับสิ่งแวดล้อมแบบนี้ และเริ่มพัฒนาความคิดแบบสุดโต่ง อย่างที่เห็นว่าในช่วงอายุยี่สิบต้น เขาเลือกที่จะออกประจำการกับหน่วย Cossacks of the Amur ในไซบีเรียมากกว่าจะเลือกงานที่ปลอดภัยกว่า ห้าปีในไซบีเรียได้พิสูจน์ว่าเป็นจุดพลิกผันไปสู่แนวทางปฏิวัติเมื่อที่เขาต้องเผชิญกับภูมิทัศน์ที่ดงดิบและไม่คุ้นเคย ควบคู่ไปกับแนวคิดอนาธิปัตย์จากหมู่ผู้ลี้ภัยที่ถูกกุมขังในพื้นที่ การออกศึกษาพื้นที่ได้กลายเป็นรากฐานของชื่อเสียงเขาในเวลาต่อมาในฐานะนักภูมิศาสตร์กายภาพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Kropotkin ได้พัฒนาทฤษฏีใหม่เกี่ยวกับธรณีวิทยาน้ำแข็ง (glaciology) และการศึกษาเกี่ยวกับภูเขา (orography) ของเอเชีย นอกจากนั้น การติดต่อกับผู้คนที่อาศัยโดยปราศจากการปกครองและกฎระเบียบของรัฐ ที่สร้างชุมชนของพวกเขาขึ้นมาในเงื่อนไขที่แสนสาหัส ได้ช่วยเติมเต็มความคิดอนาธิปัตย์นิยมของเขา อย่างที่เขาได้เขียนใน Memoirs ของเขาว่า " (สิ่งที่) ฉันได้ทำหายไปในไซบีเรีย (คือ) ความศรัทธาใดๆก็ตามเกี่ยวกับการจัดระเบียบของรัฐที่ฉันเคยชื่นชมมาก่อน ฉันถูกเตรียมให้กลายเป็นนักอนาธิปัตย์ (1962: 148)"<br />
<br />
ความสนใจดังกล่าวได้ถูกกระตุ้นมากยิ่งขึ่้นเมื่อเขาเดินทางไปเยี่ยมเมือง Jura ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในปี 1872 ช่างทำนาฬิกาในภูมิภาคนี้มีชื่อเสียงในเรื่องแนวคิดทางการเมืองและวิถีชีวิตแบบชุมชนนิยม (communitarian) ของพวกเขา และพวกเขามีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อความคิดอนาธิปัตย์นิยมที่กำลังพัฒนาขึ้นของ Kropotkin นอกจากนั้น การได้เดินทางไปในยุโรปตะวันตกได้ทำให้เขาติดต่อกับองค์กร First International และสัมผัสกับลัทธิ libertarianism ของ Michael Bakunin เมื่อเดินทางกลับสู่รัสเซีย Kropotkin ได้ตามหาผู้คนที่มีความคิดไปในทางเดียวกันกับเขาในบ้านเกิด ได้เข้าร่วมกับกลุ่ม Chaikovsky Circle เป็นเวลาสองปีและเกี่ยวข้องกับขบวนการ Narodniks ที่มีฐานมวลชนเป็นชาวนา ผลที่ตามมาจากกิจกรรมเหล่านี้คือ เขาถูกจับกุมและคุมขังเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม 1874 ถูกขังในป้อม Peter and Paul Fortess ที่ขึ้นชื่อ (ว่าโหด) ในเมืองเซนท์ปีเตอร์สบรูก เขาสามารถหลบหนีออกมาได้ก็ภายหลังจากสามปีผ่านไป ขณะลี้ภัย เขาได้ย้ายไปยุโรปตะวันตกที่เขาได้สร้างมิตรเอาไว้ในสหราชอาณาจักร สเปน อิตาลีและสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งช่วยให้เขาได้ก่อตั้งวารสารอนาธิปัตย์ใหม่ที่ชื่อ <i>La Révolte </i>(การปฏิวัติ)<br />
<br />
หลังจากถูกเนรเทศออกจากสวิสเซอร์แลนด์ เขาได้ถูกจับกุมที่เมืองลียง (ของฝรั่งเศส) ในปี 1882 ที่ซึ่งเขาถูกขังจนกระทั่งปี 1886 ทางการฝรั่งเศสได้รับการเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาจากนักวิชาการชาวอังกฤษ 15 คน สมาคมภูมิศาสตร์ในราชูปถัมภ์ (Royal Geographical Society) รวมถึง William Morris และ Patrick Geddes ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงชื่อเสียงในระดับนานาชาติของเขาในฐานะนักวิชาการและนักคิดทางการเมือง<br />
<br />
เมื่อเขาอายุ 44 Kropotkin ได้ย้ายไปยังลอนดอน ที่เขาอาศัยไปอีก 41 ปี ที่นี่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับวารสาร <i>Freedom</i> และได้บรรยายทั่วประเทศอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงยังคงเดินทางไปต่างประเทศ Kropotkin ได้ผลิตงานเขียนอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เขาจะใช้ชีวิตที่ตัดขาดจากโลกมากขึ้น เป็นผลจากการสนับสนุนสงครามโลกครั้งที่ 1 ของเขาทำให้เขาถูกโดดเดี่ยวจากคนอื่นในขบวนการ ในช่วงสามปีสุดท้ายของชีวิต Kropotkin กลับไปยังรัสเซีย ความตื่นเต้นในการปฏิวัติได้ถูกทำลายลงโดยความกลัวที่เขามีต่อวิธีการของบอลเชวิค เขาเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ 1921 ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งนอกเมืองมอสโคว ผู้คนมากกว่า 100,000 เข้าร่วมในพิธีศพของนักคิดอนาธิปัตย์และนักภูมิศาสตร์คนนี้<br />
<br />Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-63913477578643518432013-08-13T10:11:00.001+03:002013-08-13T12:27:41.244+03:00แปล The Fire of Liberty : Anarchism and Geography (1)<h2>
Anarchism* </h2>
<div>
(แปลจาก The Fire of Liberty: Anarchism and Geography, ใน <i>Dissident Geographies: An Introduction to Radical Ideas and Practice </i>(2000)<i> </i>ของ Alison Blunt และ Jane Wills)</div>
<br />
<span style="font-family: Courier New, Courier, monospace;">คำภาษากรีก<i> anarchos</i> มีความหมายง่ายๆ ว่า "ปราศจากผู้ปกครอง" และคำว่า <i>anarchy </i>มักถูกใช้เพื่ออธิบายความไร้ระเบียบทางสังคม ความรุนแรงและความวุ่นวายที่เกี่ยวกับการล่มสลายของสิทธิอำนาจ (authority) และการละเมิดกฎหมายอย่างแพร่หลาย ยังไงแล้ว นักอนาธิปัตย์ (anarchists) ปรารถนาให้การไร้ซึ่งสิทธิอำนาจเป็นก้าวที่สร้างสรรค์ไปสู่หนทางแห่งการสร้างสังคมใหม่ ที่เป็นหนึ่งเดียวกับตนเองและกับธรรมชาติ แทนที่จะเป็นคำที่มีความหมายลบ anarchy ได้รับการกล่าวถึงในฐานะของการพัฒนาทางสังคมที่เป็นบวก (positive social development) ที่เปิดโอกาสให้ปัจเจกบุคคลได้เบ่งบานโดยปราศจากข้อจำกัดและการปิดกั้นของสิทธิอำนาจ กฎหมายและการควบคุม อย่างไรก็ดี โดยธรรมชาติของมันแล้ว ขนบของการแข็งขืน (dissent) นี้มีความเป็นสรรพ์(เกิดจากหลายสิ่งปะปนกัน - eclectic) และค่อนข้างยากที่จะชี้ชัดลงไป นักเขียนสายอนาธิปัตย์มักมีแนวโน้มที่จะหลบเลี่ยงแนวทางการเมืองหรือปฏิบัติการในเชิงองค์กรที่ชัดเจนเด็ดขาด และมักมีการประสานงานระหว่างกลุ่มอนาธิปัตย์น้อย อันที่จริง อย่างที่ (Sébastian) Fauré ได้กล่าวไว้ นักอนาธิปัตย์นั้นรวมตัวกันได้เฉพาะในเรื่องการต่อต้านอำนาจทุกรูปแบบ และยิ่งไปกว่านั้น มีความหลากหลายมหาศาลภายในขนบแบบนี้:</span><br />
<span style="font-family: Courier New, Courier, monospace;"><br /></span>
<br />
<blockquote class="tr_bq">
<span style="font-family: Courier New, Courier, monospace;">อาจมีและที่จริง มีความหลากหลายมากของนักอนาธิปัตย์ ที่ต่างก็มีลักษณะร่วมซึ่งแบ่งแยกพวกเขาออกจากมนุษยชาติที่เหลือ จุดร่วมอันนี้อยู่ที่<i>การปฏิเสธหลักการเรื่องอำนาจผู้ปกครองในการจัดองค์กรทางสังคมและที่ความเกลียดชังต่อข้อจำกัดทั้งมวลที่กำเนิดมาจากสถาบันที่งอกเงยขึ้นบนหลักการดังกล่าว </i>ดังนั้น ใครก็ตามที่ปฏิเสธอำนาจผู้ปกครองและต่อต้านมันย่อมเป็นนักอนาธิปัตย์ (Anarchist) (โดย Fauré อ้างใน Woodcock, 1977: 62; เน้นโดยผู้เขียน)</span></blockquote>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS0TDVqx78FMEEuApYKzHqTdigiU5EI87B2aveDW1MvN2HI-nyQFlLvClu4L-9NtEzKUiAi8GDn3m-xT9g0wDt_QfEdFdWsusOfGEuoMID_-A0xJ6-Dni9fbwW_Xzd1lI5Yb-B/s1600/box1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="116" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS0TDVqx78FMEEuApYKzHqTdigiU5EI87B2aveDW1MvN2HI-nyQFlLvClu4L-9NtEzKUiAi8GDn3m-xT9g0wDt_QfEdFdWsusOfGEuoMID_-A0xJ6-Dni9fbwW_Xzd1lI5Yb-B/s320/box1.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: left;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJcY9meRx2d1E4ZU5DLR241sMdIbo1fhtWBR8mJzIelNzhXbgOGEx2BbRI9tfK0g-A5YF2VJawPre9Lwm37mwr4s3CsHeuiAxo378m9UR9DvxfHWTqGi0dpF2vsrpWektb9jnf/s1600/box1.2.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJcY9meRx2d1E4ZU5DLR241sMdIbo1fhtWBR8mJzIelNzhXbgOGEx2BbRI9tfK0g-A5YF2VJawPre9Lwm37mwr4s3CsHeuiAxo378m9UR9DvxfHWTqGi0dpF2vsrpWektb9jnf/s320/box1.2.jpg" width="240" /></a> ถึงแม้จะมีต้นแบบจากการกบฎทั้งหลายของมนุษย์ในอดีต และโดยเฉพาะในการต่อสู้ทางการเมืองช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษและการปฏิวัติฝรั่งเศส สำนึกของขนบแบบอนาธิปัตย์เองนั้นก่อตัวขึ้นในกลางศตวรรษที่ 19 นักคิดสายอนาธิปัตย์อย่าง Pierre Joseph Proudhon, Michael Bakunin, Peter Kropotkin และ Elisée Réclus เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการสังคมนิยมที่ใหญ่กว่า และจวบจนกระทั่งทศวรรษ 1870s นักอนาธิปัตย์เริ่มจะแยกตัวเองอย่างชัดเจนออกจากพวกนักมาร์กซิสต์ในข้อโต้แย้งเกี่ยวกับรัฐ ภาวะการนำและกลไกที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในบทนี้ เราจะเน้นที่ความคิดสำคัญของนักอนาธิปัตย์ในศตวรรษที่ 19 กลุ่มนี้ เราจะสำรวจภูมิศาสตร์ของการจัดองค์กรและการทดลองแบบอนาธิปัตย์ และเราจะพิจารณาถึงนัยทางสาขา(ภูมิศาสตร์)ของความคิดอนาธิปัตย์เท่าที่เกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ ในแง่นี้ มันเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เผยแพร่ความคิดหลักในประวัติศาสตร์อนาธิปัตย์นิยมนั้นเป็นนักภูมิศาสตร์อาชีพ ความสนใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องสิ่งแวดล้อมและในความหลากหลายของการก่อตัวทางสังคมได้เป็นแรงบันดาลใจทั้งต่อภูมิศาสตร์และความคิดอนาธิปัตย์นิยมของ Peter Kropotkin และ Elisée Réclus และในขณะนั้น ทั้งสองคนได้รับการยกย่องในฐานะนักวิชาการด้านภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิภาค (physical and regional geography)</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-57158403684877340202013-01-02T18:14:00.003+02:002013-01-02T18:14:35.259+02:00การครอบงำของสื่อ (ใหม่)<br />
<div class="MsoNormal">
(<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">เผยแพร่ครั้งแรกในเว็๋บสำนักข่าวประชาธรรม </span>15<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">
ธ.ค. </span>2555)<o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนในวงการสื่อ
โดยเฉพาะสื่ออิสระ มักพูดถึงเครือข่ายทางสังคมออนไลน์อย่าง </span>Facebook <span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ในฐานะ
"สื่อใหม่"
และคาดหวังว่ามันจะช่วยสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้กับการรับรู้และการกระจายข้อมูลข่าวสารเพิ่มขึ้น</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่เราสังเกตเห็นได้ในวันนี้ ก็คือ
การผลิตซ้ำข้อมูลและข่าวสารทำได้ง่ายขึ้น
และดูเหมือนจะมีพื้นที่ใหม่ที่เปิดกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สำหรับการแสดงออกทางความคิดและความเห็นในแทบทุกเรื่อง นอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาอย่างปฏิเสธไม่ได้จากรูปแบบของเทคโนโลยีใหม่ในชีวิตประจำวันก็คือ
โอกาสในการเผชิญหน้าระหว่างความเห็นที่ต่างกันและพลวัตรของการจัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้เครือข่ายทางสังคมเหล่านี้</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">โดยไม่ต้องการตั้งคำถามเกี่ยวกับความคุณค่าของสื่อใหม่
บทความนี้ต้องการเพียงชักชวนให้ผู้ใช้ประโยชน์จากสื่อใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำหน้าที่สื่ออิสระและผู้ที่เรียกตัวเองว่า
"นักข่าวพลเมือง" ได้ลองตอบคำถามพื้นฐานที่สำคัญว่า
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ พื้นที่ที่เปิดกว้างขึ้น หรือ "เสรีภาพ"
ที่เรารู้สึกว่าได้รับจากพื้นที่นี้ แท้จริงแล้ว ได้เพิ่มอำนาจให้กับพวกเราในการกำหนดวาระทางสังคม
และเป็นอิสระมากขึ้นจากการครอบงำของสถาบันหลักของสังคมหรือไม่</span>?? <o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">สถาบันหลักที่ว่า
หมายความรวมถึงสื่อกระแสหลักที่ถูกกำกับด้วยระบบตลาด</span>, <span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">กลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจที่มุ่งแสวงหาเพียงกำไร</span>,
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">สถาบันที่มีลักษณะกดขี่ในสังคม เช่น หน่วยงานความมั่นคง</span>, <span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">กลุ่มจารีตนิยมที่ครอบงำสถาบันสำคัญต่างๆ
เช่น สถาบันการศึกษา วิจัยและศาล หรือแม้กระทั่ง
สถาบันทางการเมืองที่ประชาชนไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ความเป็นอิสระจากการครอบงำของสถาบันหลักเหล่านี้
คือ หัวใจที่สำคัญของการเข้าถึง "ความจริง" หรือในรูปธรรม คือ
ความเห็นพ้องต้องกันในสภาวะที่เป็นอยู่ และควรจะเป็นของสังคมและสถาบันต่างๆ
ในสังคม ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีขึ้น</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">แต่อิสรภาพจากการครอบงำของสถาบันเหล่านี้
ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากอำนาจของประชาชนในการควบคุมทิศทางของข้อมูลและพลังในการสื่อสาร
เพื่อสร้างความจริงในแบบของภาคประชาชนเอง</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
****<o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><i>อำนาจในการควบคุมทิศทางของข้อมูลและพลังในการสื่อสารมาจากไหน?</i></span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ประการสำคัญที่สุด
นักข่าวพลเมืองจะต้องเป็นอิสระจากการถูกกำกับและการกำหนดรูปแบบการสื่อสารโดยสื่อใหม่</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">อิสรภาพที่เรากำลังพูดถึง แน่นอน
ต้องไม่ใช่เพียง "เสรีภาพ" ในมุมมองของภาคธุรกิจที่มีความหมายแคบๆ
เพียงโอกาสหรือทางเลือกในการได้บริโภคมากขึ้น หากยินดีที่จะจ่ายเพิ่มขึ้น
และ/หรือไม่ใช่เพียง "เสรีภาพแบบปัจเจก" ที่เกิดขึ้นได้
บนเงื่อนไขของการผูกขาด กรรมสิทธิเอกชน และการทำลายพื้นที่สาธารณะ ฯลฯ</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">เพราะเสรีภาพแบบที่ว่านั้นเป็นเพียงสภาวะแห่งการพึ่งพิงที่ลึกซึ้งขึ้น
ไม่ต่างจากการตกเป็นทาสของสารเสพติด
ที่ยิ่งเสพก็ยิ่งมีผลทำลายความสามารถในการมองเห็นการพึ่งพิงดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพิงเครือข่ายที่กำหนดโดยธุรกิจการตลาด
หรือการกำกับและความเห็นชอบของหน่วยงานรัฐ ที่พยายามสอดส่ายสายตาและมือไม้ที่หยุบหยับเข้ามาภายในเครือข่ายการสื่อสารที่ซับซ้อน
แต่เปราะบางนี้</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ดังนั้น
ผู้ที่ต้องการควบคุมทิศทางและพลังของการสื่อสารย่อมต้องเข้าใจทั้งโอกาสและข้อจำกัดของสื่อใหม่
ซึ่งหมายถึงไม่ละทิ้งโอกาสที่จะใช้สื่อแบบอื่น
ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สาธารณะ ที่ในทางกลับกัน
มีแนวโน้มจะถูกปิดกั้นในแง่เนื้อหาได้ยาก (หรือช้า) กว่า</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">สื่อใหม่ยังต้องเน้นความสามารถในการสื่อสาร
ทั้งในแง่การเข้าถึงผู้รับสื่อจำนวนมากและในสถานที่ที่เหมาะสม
โดยเฉพาะในย่านคนชนชั้นแรงงานที่ไม่มีโอกาสพึ่งพาเครือข่ายทางสังคมได้เท่ากับคนชนชั้นกลาง</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">การเพิ่มอำนาจในการควบคุมทิศทางของข้อมูล
รวมทั้งพลังในการสื่อสาร ในแง่หนึ่ง จึงกินความไปถึง
การขยายขอบเขตของความหมายสิ่งที่เรียกว่า "สื่อใหม่"
ให้กว้างไกลไปกว่าเครือข่ายทางสังคมและโลกอินเตอร์เน็ต
เพื่อไม่ให้เนื้อหาของสื่อถูกกำหนดจากรสนิยม บรรทัดฐานทางศีลธรรม
หรือแม้กระทั่งความสามารถในการจ่ายของเสียงข้างมากเท่านั้น</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<i><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">แล้วการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นหละ </span>??</i><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">แน่นอนว่าอำนาจของสื่อใหม่
ส่วนสำคัญมาจากการเปิดพื้นที่ให้คนจำนวนมากขึ้นได้เข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดประเด็นของข้อมูลหรือข่าวสารที่สมควรได้รับการดีเบตในสังคม
แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้อยู่ว่าสังคมที่เรากำลังพูดถึงนั้นมีขอบเขตและอาณาบริเวณกว้างไกลแค่ไหน</span>,
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ผู้รับสื่ออยู่ในพื้นที่ที่สอดคล้องกับประเด็นนั้นหรือไม่
และที่สำคัญ สังคมที่กำลังพูดถึงนั้นเป็นเพียงจินตนาการหรือเป็นพื้นที่จริงที่ผู้คนสามารถสร้างประสบการณ์และความทรงจำแบบรวมหมู่ได้ร่วมกัน</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ที่สำคัญไปกว่านั้น
การมีส่วนร่วมที่เรากำลังพูดถึงนั้น ต้องไม่ใช่การได้สวมบทบาทใหม่
เช่นเดียวกับที่ผู้บริโภคที่ได้รับความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจากการได้มีส่วนร่วมในการประกอบสินค้าอุปโภคด้วยตนเอง
(</span>Do It Yourself) <span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">หากเป็นเช่นนั้น
การมีส่วนร่วมที่เรากำลังพูดถึง โดยเนื้อแท้แล้ว
ก็เป็นเพียงเทคนิคใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตและพฤติกรรมการบริโภค
ที่มุ่งให้ผลลัพธ์อย่างเดิมคือ กำไรสูงสุดสำหรับธุรกิจ และความพึงพอใจสูงสุด
สำหรับผู้บริโภค</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
*****<o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">บทความนี้ไม่ได้เสนอคำตอบใดๆ
เกี่ยวกับสื่อใหม่และบทบาทของนักข่าวพลเมือง แต่จะขอตัดเอาคำพูดตอนหนึ่ง ของ</span>Micheal
Hardt & Antonio Negri <span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ในบทความล่าสุด (</span>It Begins With
Refusal <span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ใน </span>Adbusters Magazine) <span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">มาเพื่อแสดงจุดยืนว่า </span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
"<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">ใช่ เราต้องการค้นพบความจริง แต่ยิ่งไปกว่านั้น
เราจำเป็นต้องสร้างความจริงใหม่ด้วย
(ความจริงใหม่)
ที่จะถูกสร้างก็โดยเพียงความเป็นหนึ่งเดียวกันของเครือข่ายที่สื่อสารถึงกันและเป็น/อยู่ร่วมกัน"</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
******<o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;">จะน่าตกใจแค่ไหน หากเราพบว่า
"เสรีภาพ" และ "การมีส่วนร่วมทางการเมือง" ในแบบปัจเจก ที่เราพึงพอใจว่าได้รับจากการใช้สื่อใหม่นั้น
ในอีกด้านหนึ่ง
ช่วยตอกย้ำให้การครอบงำและอำนาจทางเศรษฐกิจของสถาบันที่เป็นปริปักษ์กับเสรีภาพและการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบรวมหมู่นั้นมั่นคงแข็งแรงขึ้น</span>???<o:p></o:p></div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-82385262123102837542013-01-02T18:00:00.001+02:002013-01-02T18:03:44.451+02:00ว่าด้วยเรื่องการทดลองใช้กระบวนการแสวงหาฉันทามติ ตอนที่ 3อ่านบทความเกี่ยวกับแนวคิดและประสบการณ์จากการทดลองใช้กระบวนการแสวงหาฉันทามติ (consensus-building process) กับกลุ่มนักกิจกรรมรุ่นใหม่ ตอน 3 (คลิกชื่อบทความครับ)Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-4966073812544907472013-01-02T17:55:00.001+02:002013-01-02T18:04:07.269+02:00ว่าด้วยเรื่องการทดลองใช้กระบวนการแสวงหาฉันทามติ ตอน 2อ่านบทความเกี่ยวกับแนวคิดและประสบการณ์จากการทดลองใช้กระบวนการแสวงหาฉันทามติ (consensus-building process) กับกลุ่มนักกิจกรรมรุ่นใหม่ ตอน 2 (คลิกชื่อบทความครับ)Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-60165291765178257212013-01-02T17:53:00.001+02:002013-01-02T18:04:26.756+02:00ว่าด้วยเรื่องการทดลองใช้กระบวนการแสวงหาฉันทามติ (ตอนแรก)อ่านบทความเกี่ยวกับแนวคิดและประสบการณ์จากการทดลองใช้กระบวนการแสวงหาฉันทามติ (consensus-building process) กับกลุ่มนักกิจกรรมรุ่นใหม่ (คลิกชื่อบทความครับ)Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-20957512124732495802013-01-02T04:42:00.001+02:002013-01-02T18:16:39.008+02:00วิกฤตทุนนิยมรอบนี้ คือ วิกฤตความชอบธรรมของการครอบงำบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจในยูโรโซน การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจ้างงานและสิทธิในที่อยู่อาศัย ที่ลงในคอลัมน์ทุนนิยาม 101 ใน localtalk2004.com ในกลางเดือนพฤศจิกายน 2555Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-35964756892820121462012-12-15T06:04:00.001+02:002013-01-02T18:17:41.104+02:00เปิดเมนูเศรษฐกิจและตัวตนของพอล ไรอัน ว่าที่รองปธน.ของสหรัฐ?<br />
<div class="MsoNormal">
(มุมมองบ้านสามย่าน กรุงเทพธุรกิจ 23 ส.ค. 2555)</div>
<div class="MsoNormal" style="margin-left: 3.5in;">
<i><span lang="TH" style="color: #948a54; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi; mso-themecolor: background2; mso-themeshade: 128;"> <o:p></o:p></span></i></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">นายมิตต์ รอมนี </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">(Mitt Romney) <span lang="TH">ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
จากพรรครีพับลิกันแทบจะผูกขาดพื้นที่สื่อกระแสหลักในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเขาประกาศชื่อนายพอล
ไรอัน </span>(Paul Ryan) <span lang="TH">สมาชิกสภาคอนเกรสจากวิสคอนซินเป็นคู่ลงสมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดีสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน<o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">พอล ไรอันเป็นที่รู้จักดีจากบทบาทประธานคณะกรรมการงบประมาณของสภาจากรีพับลิกัน
ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการเสนอแผนปฏิรูปงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลกลางเมื่อต้นปีที่แล้ว
หากยังจำได้ สาระสำคัญของแผนปฏิรูป</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ดังกล่าวคือ ตัดงบประมาณรายจ่ายด้านบริหารและปรับลดพนักงานของรัฐลง
รวมถึงผ่อนคลายกฎระเบียบที่ควบคุมธนาคารและภาคธุรกิจ ผ่อนคลายภาษีสำหรับผู้มีรายได้สูง
และประการสำคัญ แปรรูประบบประกันสังคม </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">(Social Security system) <span lang="TH">และโครงการสวัสดิการสาธารณสุข อย่างเมดดิแคร์และเมดดิเคดให้กลายเป็นระบบเอกชนในที่สุด</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">สื่อกระแสหลักมักกล่าวถึงนายไรอันในฐานะนักการเมืองหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จ
รักครอบครัวและเชี่ยวชาญด้านงบประมาณหรือการคลัง ขณะที่เขาเองเป็นขวัญใจของกลุ่ม
“ทีปาร์ตี </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">(Tea Party)<span lang="TH">”
กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ปฏิเสธบทบาทของรัฐในด้านสังคม เช่น ประกันการว่างงาน
สวัสดิการสาธารณสุข ฯลฯ และสนับสนุนแนวคิดการคลังแบบอนุรักษ์นิยม
</span>(fiscal conservatism) <span lang="TH">ที่เสนอให้รัฐลดรายจ่ายงบประมาณลง
เพื่อไม่ให้เกิดการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลและเพื่อให้ลดการจัดเก็บภาษีในอัตราสูง</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ประเด็นเรื่องการลด</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">/<span lang="TH">เพิ่มภาษีและการปฏิรูประบบประกันสังคม
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อถกเถียงใหญ่เกี่ยวกับขนาดของงบประมาณรายจ่ายจะกลายเป็นโจทย์สำคัญในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ครั้งนี้ หากยังจำกันได้ ข้อถกเถียงเรื่องการลดหรือเพิ่มภาษีเคยเป็นจุดขายที่ต่างกันของผู้สมัครสองคนคือ
นายบารัค โอบามาและจอห์น แมคเคนในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อ </span></span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 14pt; line-height: 115%;">4
</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 14pt; line-height: 115%;">ปีที่แล้วเช่นเดียวกัน</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 14pt; line-height: 115%;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ในแง่ประวัติศาสตร์การเมือง นักการเมืองที่ใช้แนวนโยบายการคลังแบบอนุรักษ์นิยมจนได้รับการยอมรับคือ
อดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน (</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">Ronald Reagan) <span lang="TH">จนทำให้เกิดคำว่า “</span>Reaganomics <span lang="TH">หรือนโยบายเศรษฐกิจแบบเรแกน” (ค.ศ. </span>1980 – 1989<span lang="TH"> หรือ
พ.ศ. </span>2523- 2532) <span lang="TH">ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นโยบายการคลังแบบอนุรักษ์นิยมจึงกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของรีพับลิกันเมื่อพูดถึงเมนูเศรษฐกิจของผู้สมัครจากพรรค
</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">นักเศรษฐศาสตร์อาจเรียกเมนูเศรษฐกิจชุดเดียวกันนี้ในหลากหลายชื่อกันออกไป
ตั้งแต่นโยบายแบบเศรษฐศาสตร์ฝั่งอุปทาน (</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">Supply<span lang="TH"> </span>Side
Economics<span lang="TH">), สำนักการเงินนิยม </span>(monetarism)<span lang="TH">,
นโยบายแบบตลาดเสรีหรือนโยบายการคลังแบบอนุรักษ์นิยม ทั้งนี้ แต่ละชื่อนั้นมีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกันไป
แต่ในความหมายกว้าง ล้วนหมายถึงชุดนโยบายเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนฐานของข้อเรียกร้อง<i>เชิงปฏิเสธ
</i>กล่าวคือ ลดการใช้จ่ายของรัฐ ลดการเก็บภาษี
ลดการใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัวและปฏิเสธเงินเฟ้อในระดับสูง ทั้งนี้ นักการเมืองที่หาเสียงกับชุดนโยบายเศรษฐกิจเชิงปฏิเสธอย่างมิตต์
รอมนีและพอล ไรอัน จึงมักตั้งต้นถามผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า
“คุณคิดว่าคุณพอใจกับชีวิตความเป็นอยู่ในวันนี้มากกว่าสี่ปีที่แล้วหรือไม่?” </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ทั้งรอมนีและไรอันรู้ดีว่าแนวนโยบายแบบอนุรักษ์นิยมนั้นใช้ได้ดีในการหาเสียงกับกลุ่มคนชั้นกลางระดับสูง
(</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">upper middle-class)<span lang="TH"> ที่ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจ เหตุผลง่ายๆ
ก็คือ การลดภาษีนั้นสร้างแรงจูงใจให้กับคนกลุ่มนี้มากพอ
เนื่องจากพวกเขามีรายได้ก่อนหักภาษีในระดับสูง นอกจากนี้
คนกลุ่มนี้ยังสามารถเข้าถึงระบบสวัสดิการและประกันสุขภาพของเอกชนที่ครอบคลุมและมีคุณภาพดีกว่าของรัฐ
จึงไม่เห็นความสำคัญของสวัสดิการที่รัฐจัดหาให้ ต่างจากกลุ่มคนชั้นกลางระดับล่างทั่วไป</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการเสนอเมนูเศรษฐกิจแบบอนุรักษ์นิยมเช่นนี้จะไม่ส่งผลให้เกิดแรงสะท้อนกลับ
การรณรงค์ตอบโต้จากฝั่งเดโมแครตก็พุ่งเป้าไปที่ประเด็นภาษีเช่นเดียวกัน
แต่เป็นเรื่องการจ่าย/หลบเลี่ยงภาษีของนายรอมนี่ ซึ่งส่งผลสะเทือนในทางสาธารณะไม่น้อยท่ามกลางบรรยากาศตื่นตัวเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ข้อเสนอของพอล ไรอันเมื่อไม่กี่วันก่อนให้เฟดหรือธนาคารกลางของสหรัฐฯ
หันมาให้ความสนใจกับระดับเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียวและละทิ้งเป้าหมายสำคัญอีกประการของเฟด
คือ ระดับการจ้างงาน ก็ทำให้เกิดปฏิกริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากหลายกลุ่ม
รวมทั้งเฟดเอง </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ยิ่งไปกว่านั้น ศาสตราจารย์พอล ครุกแมน </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">(Paul Krugman) <span lang="TH">นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลจากมหาวิทยาลัยปรินซตันได้วิจารณ์พอล
ไรอันอย่างรุนแรงในคอลัมน์ส่วนตัวของเขาบนหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ว่าข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิรูปงบประมาณของไรอันถูกสร้างขึ้นลอยๆ
บนอากาศโดยไม่มีข้อพิสูจน์เกี่ยวกับที่มาของรายได้รัฐเลย</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ครุกแมนยังเห็นด้วยกับนักวิเคราะห์บางคนที่กล่าวว่าไรอันเองไม่ได้เชื่อในนโยบายการคลังแบบอนุรักษ์นิยมอย่างแท้จริง
แต่เป็นคนที่มีความคิดสุดโต่งในการจำกัดบทบาททางสังคมของรัฐบาล ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าพอล
ไรอันนิยมระบบตลาดเสรีและลัทธิเสรีนิยมใหม่ (</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">neoliberalism) <span lang="TH">อย่างสุดขั้ว เขาเปิดเผยต่อสาธารณะว่าข้อเสนอของเขาได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการเมืองและสังคมของอายน์
แรนด์ </span>(Ayn Rand) <span lang="TH"> นักเขียนและนักปรัชญาอเมริกันเชื้อสายยิวที่อพยพจากรัสเซียขณะที่ยังเป็นสหภาพโซเวียต
เธอจึงมีประสบการณ์ที่เลวร้ายกับสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบคอมมิวนิสต์” อายน์ แรนด์เองเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่เทิดทูนเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างสุดโต่ง
จนถึงขั้นเชิดชูสิ่งที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว (</span>Selfishness) <span lang="TH">และรังเกียจความเป็นส่วนรวมนิยม (</span>collectivism<span lang="TH">) กรรมสิทธิร่วมกัน
รวมถึงสังคมนิยมทุกรูปแบบ </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ที่น่ากลัวก็คือ ดูเหมือนว่าพอล ไรอันจะท่องจำคำสอนของอายน์
แรนด์มาอย่างตรงตัวอักษร เขาเคยกล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในการต่อสู้ระหว่างปัจเจกชนนิยมและส่วนรวมนิยม”
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ถ้าหากมิตต์
รอมนีได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนต่อไปถัดจากนายโอบามาและพอล
ไรอันได้รับตำแหน่งรองประธานาธิบดีของสหรัฐฯ แล้ว
ก็คงไม่ยากที่จะนึกภาพระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของสหรัฐฯ ในอีกสี่ปีข้างหน้า </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><o:p></o:p></span></div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-12023613555875014062012-12-15T05:57:00.001+02:002013-01-02T18:21:44.226+02:00ไทยกับการพัฒนาที่เป็นมิตรกับกระบวนการประชาธิปไตยในพม่า<br />
<div class="MsoNormal">
(เผยแพร่ครั้งแรก คอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน กรุงเทพธุรกิจ 5 ก.ค. 2555)</div>
<div align="right" class="MsoNormal" style="text-align: right;">
<b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"> </span></b></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">อาจไม่เกินจริงไปนัก หากจะกล่าวว่าถนนทุกสายกำลังมุ่งหน้าสู่อาเซียน
โดยมีประเทศพม่าเป็นหนึ่งในปลายทางสำคัญของถนนเหล่านี้ แน่นอน คนกลุ่มแรกๆ ที่เบียดเสียดกันมาเต็มรถโดยสารขบวนแรกหนีไม่พ้นนักลงทุนรายใหญ่ชาวต่างชาติ
มีการประเมินว่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">(Foreign Direct Investment) <span lang="TH">เข้าประเทศพม่าเพิ่มขึ้นจาก </span>1
<span lang="TH">พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นกว่า </span>3 <span lang="TH">พันล้านเหรียญภายในเวลาเพียง
</span>1 <span lang="TH">ปี<o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ขณะที่พม่าถูกปกครองโดยระบอบเผด็จการทหารมายาวนานกว่า
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">40 <span lang="TH">ปี เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่
“มิตร” ของพม่าควรจับตากลุ่มนักลงทุนที่กระตือรือร้นเข้าพม่าล็อตแรกเป็นพิเศษ </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ฌอน เทอร์แนล (</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">Sean Turnell</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">)</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">นักเศรษฐศาสตร์จาก </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">Macquarie University <span lang="TH">ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจพม่ากล่าวว่าปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญของพม่า
คือ ขาดสถาบันพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจแบบตลาด
ไม่ว่าจะเป็นระบบกรรมสิทธิ์เอกชนและการบังคับใช้สัญญาที่มีประสิทธิภาพ</span></span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">,</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"> มีสถาบันทางการเงินและสกุลเงินที่ไร้เสถียรภาพ</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเป็นไปอย่างขาดหลักการและไร้ทิศทาง
ฯลฯ ฉะนั้น กลไกที่เป็นเสมือนหลักประกันผลตอบแทนการลงทุนเพียงอย่างเดียวที่ปรากฎให้เห็นในขณะนี้คือ
การแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">rent-seeking) <span lang="TH">หรือพูดในภาษาที่เข้าใจง่ายคือ ผ่านการคอรัปชั่นนั่นเอง</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">จึงไม่น่าแปลกใจนัก
หากดอว์อองซานซูจี ประธานพรรคเอ็นแอลดีและสมาชิกรัฐสภาของพม่า เลือกกล่าวกับผู้เข้าร่วมประชุม
ณ องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">(ILO) <span lang="TH"> ที่เจนีวา เมื่อเธอเริ่มต้นการเดินทางเยือนยุโรปกลางเดือนมิถุนายน
</span>2555 <span lang="TH"> ว่าสิ่งที่เธอต้องการเห็นสำหรับพม่าคือ
“<b>การเติบโตทางเศรษฐกิจอันเกิดจากการพัฒนาที่เป็นมิตรกับประชาธิปไตย </b></span><b>(democracy-friendly
development growth)</b><span lang="TH">” เธอเรียกร้องให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่า
โดยผลักดันให้เกิดความรุดหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปทางการเมือง</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ในบริบทของประเทศไทย
เพื่อนบ้านใกล้ชิดที่สุดของพม่า ซึ่งสนับสนุนโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย
(ที่เป็นโครงการของเอกชน) ในฐานะเป็นยุทธศาสตร์ชาตินั้น ขณะที่รัฐบาลพม่ายังขาดกลไกบังคับใช้กฎหมายที่จะป้องกันการแสวงหาประโยชน์อย่างขาดความรับผิดชอบจากเอกชนที่เข้าลงทุนในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่
เช่นโครงการทวายฯ รัฐบาลไทยสามารถสนับสนุนการพัฒนาที่เป็นมิตรกับประชาธิปไตยในพม่าโดยกลับไปหารากฐานของแนวคิดการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ที่รู้จักในชื่อของ “วิสัยทัศน์อาเซียน </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">2020” <o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ในภาษาของอาเซียน
วิสัยทัศน์ </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">2020 <span lang="TH">เป็นเสมือนคำประกาศเจตนารมณ์ของผู้นำอาเซียนทั้ง </span>10 <span lang="TH">ประเทศในปี
</span>2540<span lang="TH"> ที่กัวลาลัมเปอร์ เพื่อ</span></span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">จัดตั้งประชาคมอาเซียน </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: major-bidi; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">อัน</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ ประชาคมเศรษฐกิจ
สังคมวัฒนธรรมและการเมืองความมั่นคงขึ้นภายในปี 2020 (ต่อมา ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็น ค.ศ. </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">2015 <span lang="TH">หรือ พ.ศ. </span>2558)<span lang="TH"> เป้าหมายสำคัญอันหนึ่งคือ
การลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">อันที่จริง แนวคิดเรื่องการลดช่องว่างระหว่างประเทศสมาชิก
เกิดจากวิสัยทัศน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด ที่รู้จักกันในชื่อ </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">“prosper-thy-neighbors policies” <span lang="TH">หรือนโยบายช่วยเพื่อนบ้านให้รวย
(ตรงข้ามกับ </span>“beggar-thy-neighbors”<span lang="TH"> หรือปล้นเพื่อนบ้าน</span>)<span lang="TH"> ตามแนวคิดของอดีตนายกฯ มหาเธร์ ประเทศเพื่อนบ้านที่ยากจนจะส่งผลกระทบแง่ลบผ่านพรมแดนมาเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตและความสงบของประเทศเราเอง
ดังนั้น การพัฒนาให้ประเทศเพื่อนบ้านมีความกินดีอยู่ดีและมีความมั่นคงจะสนับสนุนให้ทั้งสองประเทศพัฒนาควบคู่กันไปในระยะยาว
ทั้งนี้ ดร. มหาเธร์มักยกตัวอย่างญี่ปุ่นเป็นต้นแบบของประเทศที่ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนากับประเทศมาเลเซีย
และมาเลเซียเองก็ทำเช่นเดียวกันต่อประเทศที่ยากจนกว่า เขาเชื่อว่านโยบายช่วยเพื่อนบ้านให้รวย
ทำให้ทุกประเทศได้ประโยชน์หรือเป็นวิน</span>-<span lang="TH">วินเกมส์ ขณะที่นโยบายปล้นเพื่อนบ้านทำให้เพียงฝ่ายเดียวได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์นั้น</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">2540 <span lang="TH">ดร.มหาเธร์เป็นหนึ่งในผู้นำประเทศกำลังพัฒนาน้อยรายที่กล้าแสดงความเห็นอย่างเปิดเผยเรื่องความเลวร้ายของบรรษัทข้ามชาติในการแสวงหากำไรระยะสั้นจากประเทศกำลังพัฒนา
รวมทั้งการลงทุนในรูปของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ช่วยพัฒนาความกินดีอยู่ดีของประชาชน
แต่หวังเพียงกอบโกยเอาทรัพยากรของประเทศเจ้าบ้าน ในเดือนกันยายน ปี </span>2540 <span lang="TH">หลังจากวิกฤตในภูมิภาคปรากฏรูปเต็มที่ ดร. มหาเธร์กล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดังที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับข้อเสนอแนวทางการพัฒนาที่หลุดพ้นจากการครอบงำในงานประชุมประจำปีของธนาคารโลกที่ฮ่องกง
ทั้งนี้ แนวคิดเรื่องการลดช่องว่างระหว่างประเทศที่เกิดจาก </span>“prosper-thy-neighbors
policies” <span lang="TH">กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์อาเซียน </span>2020 <span lang="TH">ถึงแม้อาเซียนจะยังคงเดินตามแนวทางการพัฒนาแบบตะวันตกต่อไป แต่วิสัยทัศน์ของดร.
มหาเธร์ก็นำไปสู่วาทกรรม “ชุมชนแห่งการแบ่งปันและเอื้ออาทร” ที่ช่วยทัดทานวาทกรรมการพัฒนากระแสหลักไม่มากก็น้อย
</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: major-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: major-bidi;">อันที่จริงแล้ว ประเทศในอาเซียน
โดยเฉพาะไทยและพม่า กำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ ที่รอการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวของผู้นำรัฐบาลว่า
จะเดินต่อไปบนเส้นทางที่เคยเดินมา ที่สะดวกสบาย แต่ทำให้คนกลุ่มเดิมเพียงกลุ่มเดียวได้รับประโยชน์
หรือจะเลือกเส้นทางใหม่ที่อาจจะลำบาก
แต่เป็นเส้นทางที่เป็นมิตรกับกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย ที่สำคัญ เป็นเส้นทางที่จะทำให้ทุกคนก้าวเดินไปพร้อมกันฉันท์มิตรอย่างแท้จริง<o:p></o:p></span></div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-86418069594168521442012-11-21T22:24:00.000+02:002013-01-02T18:22:46.422+02:00คดีที่ดินลำพูน กรณีศึกษาความล้มเหลวของการจัดการที่ดินของไทย<br />
<div align="right" class="MsoNormal" style="tab-stops: 319.5pt; text-align: right;">
</div>
<div style="text-align: start;">
(เผยแพร่ครั้งแรก คอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน กรุงเทพธุรกิจ 12 พ.ค. 2555)</div>
<div style="text-align: start;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">ถึงแม้สังคมไทยจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาความยากจนในชนบทกับการขาดที่ดินทำกิน
โดยเฉพาะการสูญเสียที่ดินของชาวบ้านให้กับนายทุนนอกพื้นที่ แต่คำอธิบายเรื่องการสูญเสียที่ดินมักวนเวียนอยู่กับเรื่องความโลภของนายทุน
การทุจริตคอรัปชันของข้าราชการท้องถิ่นหรือแม้กระทั่งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของชาวบ้าน
ยังไม่ถูกนำไปเชื่อมโยงกับรากของปัญหา นั่นคือ แนวคิดและวิธีการในการจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดิน
รวมถึงกลไกกำกับการใช้ประโยชน์จากกรรมสิทธิ์ที่ดินในสังคม</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">การจัดการเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินของรัฐบาลไทยเกิดขึ้นอย่างจริงจังในช่วงปลายทศวรรษ
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">2520 <span lang="TH">ผ่านโครงการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน (</span>Land
Titling Program)<span lang="TH"> ระหว่างปี 2527 </span></span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%;">– </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">2547 ที่รัฐบาลเรียกว่า “โครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศ”
ซึ่งได้รับเงินกู้ยืมจากธนาคารโลกรวมเป็นเงินกว่า
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">180 <span lang="TH">ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งการสนับสนุนทางด้านเทคนิคจากหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของออสเตรเลีย
(</span>AusAID)<span lang="TH"> </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">ในมุมมองแบบธนาคารโลก โครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินเป็นต้นแบบความสำเร็จในการจัดการที่ดินโดยใช้กรรมสิทธิ์แบบเอกชนในระดับโลก
โครงการดังกล่าวถึงกับได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากธนาคารโลก (</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">World Bank Award for Excellence<span lang="TH">) ในปี </span>2540<span lang="TH"> ทั้งนี้ มีการประเมินว่าโครงการดังกล่าวทำให้เกิดเอกสารสิทธิ์ถึง </span>13
<span lang="TH">ล้านสิทธิ์แก่เจ้าของที่ดินและทำให้เกิดประโยชน์ทางด้านสังคม
เศรษฐกิจและการเงินกับประเทศไทยคิดเป็นมูลค่ามหาศาล อย่างไรก็ตาม กลับเป็นเรื่องย้อนแย้งพอสมควรกับรางวัลที่ได้รับในปี
</span>2540 <span lang="TH">เพราะในปีเดียวกันนี้ ทุกคนทราบดีว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากฟองสบู่ในภาคการเงินของไทยได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ถึงขนาดทำให้วิกฤตเศรษฐกิจโลกคราวนั้นได้รับการอ้างอิงว่าเป็น </span></span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%;">“</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">วิกฤตต้มยำกุ้ง</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%;">”</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"> </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">ข้อมูลอีกด้านแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเร่งรัดออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดินหลายครั้งในช่วงปลายทศวรรษ </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">2520 <span lang="TH">และต้นทศวรรษ </span>2530 <span lang="TH">เพื่ออำนวยให้กระบวนการออกโฉนดเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ตอบสนองกับความต้องการที่ดินจากการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
กระบวนการดังกล่าวเป็นตัวเร่งให้เกิดการแข่งขันกันสะสมที่ดินเพื่อเก็งกำไรและฟองสบู่ขนาดใหญ่ขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ลักษณะเดียวกับที่เกิด “วิกฤตซับไพรม์” ทั้งนี้ งานวิจัยเกี่ยวกับการถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดินของมูลนิธิสถาบันที่ดินในปี
</span>2544<span lang="TH"> </span> <span lang="TH">แสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจลดลงประมาณร้อยละ 30</span>-
<span lang="TH">40 หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสียที่ส่วนมากเป็นเงินกู้อสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นไปสูงถึงกว่า
</span>5.5 <span lang="TH">ล้านล้านบาทในช่วงกลางปี </span>2543<span lang="TH"> </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">อย่างไรก็ตาม
สถิติสถาบันการเงินที่ถูกปิดตัว มูลค่าของหนี้เน่า </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">NPL <span lang="TH">หรือราคาเกินจริงของที่ดินบนจอคอมพิวเตอร์นั้นล้วนเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น
ฐานรากของปัญหาที่ซ่อนตัวอยู่สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นกลับเป็นเรื่องการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินที่ซ้ำเติมปัญหาการเข้าถึงที่ดินสำหรับทำกินของชาวบ้านในชนบทที่มีอยู่แล้ว
</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">กรณี “ที่ดินลำพูน”
นั้นเป็นกรณีศึกษาหนึ่งที่สำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะกรมที่ดินที่จะประเมิน
“ความสำเร็จ” ของโครงการเร่งรัดออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศ
เนื่องจากข้อพิพาทระหว่างเกษตรกรและนายทุนในพื้นที่ต่างๆ
ของจังหวัดลำพูนนั้นเป็นผลลัพธ์โดยตรงของโครงการดังกล่าวที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">2528 <span lang="TH">กล่าวคือ ในทศวรรษ </span>2530<span lang="TH"> กระบวนการเร่งรัดออกโฉนดที่ดินตามโครงการดังกล่าวทำให้ที่ดินสาธารณะจำนวนมากที่ชุมชนเคยครอบครองและใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ถูกนำไปออกเอกสารสิทธิ์และขายตกไปอยู่ในมือนายทุนเอกชนภายนอกโดยที่ชาวบ้านไม่ได้รับรู้
ที่ดินเหล่านี้จำนวนมากถูกซื้อเพื่อเก็งกำไรและปล่อยทิ้งร้างไม่ได้ทำประโยชน์ ขณะที่จำนวนหนึ่งต่อมากลายเป็น</span>
NPL <span lang="TH">ของสถาบันการเงินและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารที่ยึดทรัพย์สินเหล่านั้นตามลำดับ
</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">ชาวบ้านในหลายพื้นที่ของจังหวัดลำพูนจึงร่วมกันเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินสาธารณะเหล่านั้น
แต่นายทุนหลายรายกลับฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว
ขณะที่สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ได้เจรจากับรัฐบาลเพื่อขอให้แก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว
รวมทั้งเรียกร้องให้มีการนำที่ดินเอกชนมาทำการปฏิรูปและจัดสรรให้กับชุมชน
(ในที่สุด ประสบความสำเร็จในการผลักดันนโยบายป่าชุมชนและธนาคารที่ดิน) อย่างไรก็ตาม
ตั้งแต่ปี </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">2540 <span lang="TH">เป็นต้นมา มีชาวบ้านถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งสิ้น
</span>125<span lang="TH"> คน จนกระทั่งปัจจุบัน
มีชาวบ้านจากบ้านท่าหลุก กิ่งอำเภอเวียงหนองล่องและบ้านดงขี้เหล็ก อ.บ้านโฮ่ง ถูกตัดสินจำคุกแล้ว</span>
24 <span lang="TH">ราย ในจำนวนนี้ </span>1
<span lang="TH">รายเสียชีวิตในขณะถูกคุมขังตามที่เคยปรากฎเป็นข่าว ทั้งนี้ วันที่</span>
6<span lang="TH"> มิถุนายน </span>2555<span lang="TH"> ที่จะถึงนี้ จะมีการพิจารณาตัดสินคดีเพิ่มเติมในชั้นศาลฎีกากับผู้ถูกฟ้องร้องอีก
</span>3<span lang="TH"> รายจากพื้นที่บ้านพระบาท อ.ป่าซาง จ.ลำพูน</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">คดีที่ดินลำพูนเป็นเพียงหนึ่งกรณีตัวอย่างที่ยกขึ้นมาแสดงให้เห็นว่าปัญหาการเข้าถึงที่ดินนั้นเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวกับวิกฤตภาคการเงิน
การเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเข้าถึงความยุติธรรมของคนในชนบท นอกจากนี้
การพิจารณาความสำเร็จของนโยบายหรือโครงการของรัฐก็เป็นเรื่องซับซ้อนกว่าที่เข้าใจกัน
สุดท้าย อาจกล่าวได้สั้นๆ เพียงว่า หากไม่มีการปฏิรูประบบที่ดินให้เป็นธรรมมากขึ้นแล้ว
คนตัวเล็กที่ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจในสังคมก็คงจะต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนที่แสนแพงสำหรับ
“ความมั่งคั่ง” ของคนส่วนใหญ่เช่นนี้ต่อไป</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-52488668237494556122012-11-21T22:21:00.000+02:002013-01-02T18:23:42.745+02:00ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท อะไรคือก้าวต่อไปของฝ่ายแรงงาน??<br />
<div class="MsoNormal">
(เผยแพร่ครั้งแรก คอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน กรุงเทพธุรกิจ 12 เมษายน 2555)</div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">อย่างที่ทราบกันดีว่ากระทรวงแรงงานได้ประกาศให้มีการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำใน
</span><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-language: TH; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">7 <span lang="TH">จังหวัดนำร่องไปตั้งแต่วันที่ </span>1
<span lang="TH">เมษายนที่ผ่านมา </span></span><span style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;"><span lang="TH">สำหรับ</span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐมและนนทบุรี กำหนดให้อัตราค่าแรงขั้นต่ำเริ่มต้นที่อัตราใหม่
</span><span style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 16pt; line-height: 115%;">301 <span lang="TH">บาท จากเดิม </span>215 <span lang="TH">บาทต่อวัน และภูเก็ต เริ่มต้นที่
</span>309 <span lang="TH">บาท จาก </span>221 <span lang="TH">บาทต่อวัน</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ถือว่ามีนัยสำคัญสำหรับผู้ใช้แรงงานในสังคมไทยสองประการ
กล่าวคือ ประการแรก ถือเป็นการเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำอย่างก้าวกระโดดหรือจะพูดว่าเป็นการปรับค่าแรงในสัดส่วนที่สูงที่สุด
นั่นคือร้อยละ </span><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">40 <span lang="TH">ของอัตราค่าจ้างที่ใช้กันอยู่ เท่าที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่มีการกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำมาตั้งแต่ปี
</span>2515 <span lang="TH">ก็ว่าได้ ประการที่สอง การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากเจตนารมณ์ของฝ่ายราชการแต่เกิดขึ้นจากนโยบายของพรรคการเมืองในระหว่างหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป
นั่นคือ พรรคเพื่อไทย (ความจริง พรรคการเมืองใหญ่แทบทุกพรรคแข่งขันกันเสนอนโยบายนี้
ความแตกต่างจึงอยู่ที่สัดส่วนของอัตราค่าแรงที่เสนอให้ปรับขึ้นเท่านั้น)
จึงอาจกล่าวได้ว่า การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นความสำคัญของผู้ใช้แรงงานที่ถือเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศในฐานะฐานเสียงของพรรคการเมือง<o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">จึงต้องถือว่าการได้มาซึ่งค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้
ต่างจากที่ผ่านมาตรงที่ไม่ได้เป็นผลลัพภ์ของการร้องขอและรอความกรุณาจากฝ่ายข้าราชการเพียงอย่างเดียว
แต่เป็นการสะท้อนปัญหาในระดับชีวิตประจำวันของผู้ใช้แรงงานผ่านกลไกหรือช่องทางการเมืองที่เป็นทางการ
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นการรณรงค์จากฝ่ายแรงงานเองตั้งแต่ต้นก็ตาม</span><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">แน่นอน เราทราบกันดีอีกเช่นกันว่าการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่บและเป็นไปตามที่ฝ่ายแรงงานคาดหวัง
เพราะอุปสรรคสำคัญของการปรับอัตราค่าแรงให้สะท้อนกับความเป็นจริงเรื่องค่าครองชีพนั้นคือ
อิทธิพลของฝ่ายนายจ้างและนักอุตสาหกรรมอย่างสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
รวมถึงกลไกการปรับค่าแรงที่ใช้กันอยู่ก็คือ คณะกรรมการค่าจ้างกลางซึ่งเป็นโครงสร้างที่ถูกครอบงำโดยฝ่ายราชการเป็นหลัก
ทั้งสองปัจจัยนี้ทำให้การปรับค่าแรงในอดีตเป็นไปอย่างยากลำบากตลอดมา เสียงของคนงานที่กระจัดกระจายและอ่อนแรงจึงไม่ค่อยได้รับความสนใจจากภาคการเมืองและสื่อกระแสหลักนัก</span><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">ผู้ที่ติดตามวิวาทะเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ
</span><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">300 <span lang="TH">บาทมาตั้งแต่ต้น
ย่อมรู้ดีว่ากระแสต่อต้านการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่สำคัญนั้นเกิดขึ้นจากองค์กรผลประโยชน์ของฝ่ายนายจ้างดังกล่าว
ล่าสุด ต้นเดือนเมษายนที่เพิ่งมีการประกาศใช้อัตราค่าแรงขั้นต่ำใน </span>7 <span lang="TH">จังหวัดนำร่องนั้น นายภูมินทร์ หะรินสุต
รองประธานกรรมการหอการค้าไทยได้ให้สัมภาษณ์ว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก
</span>(SMEs) <span lang="TH">ที่มีการจ้างพนักงานตั้งแต่ </span>1-25 <span lang="TH">คน ซึ่งมีจำนวนถึง </span>98%<span lang="TH"> ของสถานประกอบการในประเทศ</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">ผู้เขียนเชื่อว่านี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความพยายามบิดเบือนประเด็นเรื่องความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำของเอสเอ็มอีไทย
ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยต่างๆ เช่น การขาดแหล่งเงินทุนและสาธารณูปโภคที่ทันสมัย
การขาดความรู้ในเรื่องการบริหารจัดการและนโยบายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
ให้กลายเป็นเพียงเรื่องค่าแรง นอกจากนี้
ฝ่ายนายจ้างยังไม่เคยเสนอความจริงอีกครึ่งหนึ่งที่ว่าการแข่งขันบนฐานของการกดค่าแรงให้ต่ำนั้นส่งผลเสียต่อการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเองในระยะยาว
ยังไม่ต้องพูดว่างานวิจัยจำนวนมากก็ชี้ให้เห็นว่าประสิทธิภาพการผลิตของคนงานไทยสูงกว่าค่าแรงที่พวกเขาได้รับอยู่มาก
</span><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">ประเด็นสำคัญก็คือ
ฝ่ายนายจ้างพยายามเรียกร้องให้การตัดสินใจปรับค่าแรงขั้นต่ำกลับไปผ่านกลไกคณะกรรมการค่าจ้างกลางเหมือนที่ผ่านมา
เพราะทราบดีว่านี่เป็นกลไกที่ฝ่ายนายจ้างสามารถควบคุมได้ง่ายกว่าและพวกเขาได้ประโยชน์จากกลไกนี้มาโดยตลอด
ยิ่งไปกว่านั้น แนวโน้มที่เกิดขึ้นหลังวันที่
</span><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">1 <span lang="TH">เมษายนก็คือ โรงงานหลายแห่งในพื้นที่นำร่อง </span>7 <span lang="TH">จังหวัดเริ่มส่งสัญญาณว่าต้องการปรับตัวเพื่อรักษาอัตรากำไรเดิมโดยไม่สนใจความเป็นอยู่ของคนงาน
ไม่ต้องพูดถึงการปรับปรุงศักยภาพการบริหารของกิจการ คนงานจำนวนหนึ่งจึงได้รับคำบอกกล่าวล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะถูกตัดลดสวัสดิการการจ้างงานที่เคยได้รับ
ไม่ว่าค่าทำงานล่วงเวลา ค่าที่พักหรือค่าอาหาร ที่ถือเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้คนงานสามารถรับมือกับค่าครองชีพที่สูงในปัจจุบันได้
<b>การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้จึงสุ่มเสียงที่จะกลายเป็นเพียงการเล่นกลหลอกตาของฝ่ายนายจ้าง</b></span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><span lang="TH"><b><br /></b></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">ถึงแม้อัตราค่าแรงขั้นต่ำใน
</span><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">7 <span lang="TH">จังหวัดจะประกาศใช้ไปแล้ว รวมถึงอีก </span>70 <span lang="TH">จังหวัดที่เหลือที่กำลังจะรอปรับตามไปในวันที่
</span>1 <span lang="TH">มกราคมศกหน้า แต่ประเด็นสำคัญที่ยังรอคอยฝ่ายแรงงานและสังคมไทยอยู่ข้างหน้าก็ยังคงเป็นเรื่องอำนาจต่อรองที่เหลื่อมล้ำระหว่างคนงานกับฝ่ายนายจ้าง
ทั้งภายในและภายนอกโรงงาน (ที่มีระบบข้าราชการอ่อนแอเป็นผู้คุมกฎกติกา) สุดท้าย แนวโน้มที่พี่น้องคนงานจะได้รับประโยชน์จากนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำคงไม่มีมากนักหากคนงานและฝ่ายแรงงานเองไม่อาจฉกฉวยโอกาสที่เริ่มแง้มออกเล็กน้อยนี้
เพื่อสอดแทรกเอาตัวเข้าไปยืนในพื้นที่การต่อรองเรื่องค่าจ้างให้มั่นคงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
การรวมกลุ่มจัดตั้งเพื่อการต่อรองอย่างเข้มแข็งเท่านั้นที่จะช่วยให้คนงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
ไม่ใช่การรอรับความกรุณาจากฝ่ายราชการหรือฝ่ายการเมือง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝ่ายนายจ้างที่เล็งเห็นแต่กำไรสูงสุดของตัวเองเป็นหลัก </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;">สวัสดีปีใหม่ไทย</span><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ascii-theme-font: minor-bidi; mso-bidi-language: TH; mso-hansi-theme-font: minor-bidi;"><o:p></o:p></span></div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-83418390997054943022012-11-21T22:16:00.000+02:002013-01-02T18:24:35.620+02:00บทเรียนจากแอปเปิ้ลและฟ็อกคอนน์ การละเมิดสิทธิอย่างเป็นระบบ โดยตลาด<br />
<div class="MsoNormal">
(เผยแพร่ครั้งแรก คอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน กรุงเทพธุรกิจ 1 มีนาคม 2555)</div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ภาพการประท้วงของคนงานโรงงานฟ็อกคอนน์ (</span><span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">Foxconn) <span lang="TH">ในเมืองเซินเจิ้นกว่า </span>150 <span lang="TH">คนที่พยายามฆ่าตัวตายหมู่ด้วยการกระโดดออกจากตึกของโรงงานปรากฎเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
ข่าวดังกล่าวได้สะกิดให้สื่อมวลชนเริ่มหันมาสนใจปัญหาเรื่องสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ของคนงานในโรงงานฟ็อกคอนน์
ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์สัญชาติไต้หวันรายใหญ่ที่สุดในเขตอุตสาหกรรมพิเศษเซินเจิ้นทางตอนใต้ของจีน
<o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">ฟ็อกคอนน์รับจ้างผลิตชิ้นส่วนอย่างแผงวงจรและจอแอลซีดี
ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ ไม่ว่าจะเป็น </span><span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">MP3 <span lang="TH">โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งแทปเลตพีซีที่คนไทยกำลังนิยม
ให้กับแบรนด์ข้ามชาติอย่างแอปเปิ้ล โซนี และฮิวเลตต์ แพคการ์ด </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">ความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็คโทรนิคส์
ด้วยต้นทุนต่ำภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ฟ็อกคอนน์กลายเป็นผู้รับจ้างเหมาช่วง (</span><span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">outsourcer) <span lang="TH">รายใหญ่ที่สุดที่ซุเปอร์แบรนด์อย่างแอปเปิ้ล
ไว้ใจให้ทำหน้าที่เป็นซัพพลายเออร์หลักให้กับสินค้าชูโรงอย่างไอโฟนและไอแพด ทั้งนี้
ผู้บริหารของฟ็อกคอนน์เคยให้สัมภาษณ์ในปี </span>2553<span lang="TH"> ว่าโรงงานฟ็อกคอนน์ในเซินเจิ้นสามารถผลิตไอโฟน
</span>4s <span lang="TH">หนึ่งเครื่องด้วยเวลาเพียง </span>1.5 <span lang="TH">วินาที
หรือ </span>90 <span lang="TH">เครื่องในเวลา </span>1 <span lang="TH">นาที (</span>137,000
<span lang="TH">เครื่องต่อวัน) </span>!<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">สภาพกดดันในการทำงานเพื่อผลิตสินค้าในอัตราเร่งที่น่าตกใจนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนงานฟ็อกคอนน์ในเซินเจิ้นจำนวนมากเลือกที่จะปลิดชีวิตตัวเองโดยกระโดดออกจากตึกของโรงงาน
รายงานข่าวกล่าวว่าปี </span><span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">2553 <span lang="TH">ซึ่งเป็นปีที่แอปเปิ้ลเร่งผลิตไอโฟนเพื่อป้อนความต้องการของตลาด
ปรากฏว่าจำนวนคนงานพยายามฆ่าตัวตายโดยการกระโดดตกสูงถึง </span>18 <span lang="TH">ครั้ง
และประสบความสำเร็จ </span>14 <span lang="TH">ราย </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">คาดการณ์ว่าอัตราเร่งของความพยายามฆ่าตัวตายของคนงานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ในรอบห้าปีที่ผ่านมา แต่มาตรการที่ฟ็อกคอนน์ทำได้ดีที่สุดในเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา
หลังจากคนงานเสียชีวิตไปแล้ว </span><span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">11 <span lang="TH">รายภายในปีเดียวคือ ขึงตาข่ายรอบอาคารของโรงงานเพื่อป้องกันไม่ให้คนงานกระโดดออกจากตึก</span>!<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">สภาพความกดดันจากการแข่งขันอย่างหนักของแบรนด์อิเล็คโทรนิคส์ในตลาด
ทำให้ซัพพลายเออร์อย่างฟ็อกคอนน์จำเป็นต้องคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้โรงงานสามารถรีดเฟ้นกำลังแรงงานจากคนงานแต่ละคนให้มากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่าแรงตามจำนวนชิ้นที่ผลิตได้เพื่อจูงใจคนงานให้ทำงานหนักที่สุด
หรือการจำกัดระยะเวลาที่คนงานจะพักจากการผลิตให้น้อยที่สุด ทั้งนี้ นักข่าวสายอิเล็คโทรนิคส์ที่มีโอกาสเข้าเยี่ยมโรงงานฟ็อกคอนน์ในเซินเจิ้นภายหลังข่าวอื้อฉาวดังกล่าวเปิดเผยว่า
โรงงานควบคุมคนงานอย่างเข้มงวดถึงขนาดที่คนงานจะต้องยกมือค้างรอไว้หากต้องการเข้าห้องน้ำ
จนกว่าจะตำแหน่งของตนในสายการผลิตจะได้รับการดูแลแทน </span><span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">ถึงแม้ผู้บริหารของฟ็อกคอนน์จะพยายามแก้ต่างว่าสภาพความเป็นอยู่ที่โรงงานจัดหาให้ภายในเขตอุตสาหกรรมพิเศษนั้น
ไม่ได้สกปรกและย่ำแย่เหมือน “โรงงานนรก” ที่เคยเห็นกันในประเทศกำลังพัฒนา แต่ประเด็นของเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ว่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานของคนงาน ถึงเฉลี่ยวันละ </span><span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">10-12 <span lang="TH">ชั่วโมงและอาจมากถึง </span>15 <span lang="TH">ชั่วโมง ขณะที่ค่าแรงที่ได้รับนั้นก็ต่ำจนเรียกได้ว่า “ไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
(แหล่งข่าวบางแห่งระบุว่าคนงานอาจได้รับค่าแรงเพียง </span>1,350 <span lang="TH">บาทต่อเดือน)
ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบจากลักษณะงานที่ต้องทำซ้ำเป็นเวลานาน
ภายใต้ความตึงเครียดที่ทำให้คนงานมีอาการซึมเศร้าและน่าจะเป็นสาเหตุให้หลายคนฆ่าตัวตายในที่สุด และผลกระทบจากการสัมผัสกับสารพิษในระหว่างการทำงานที่ทำให้ต้องล้มป่วย
ล่าสุด คนงานฟ็อกคอนน์ในจีน </span>2 <span lang="TH">คน คือ กู่ ฮุย เฉียง (</span>Gou
Rui-Qiang<span lang="TH">) และเจีย จิง ฉวน (</span>Jia Jing-Chuan<span lang="TH">)
ได้ร่อนจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนงานทั้งหมด </span>137 <span lang="TH">คนที่มีอาการป่วยจากการสัมผัสสาร </span>N-hexane <span lang="TH">ที่ใช้ทำความสะอาดจอไอโฟนในขั้นตอนการผลิต
คำถามที่ตรงไปตรงมาก็คือ สังคมแบบใดกันที่ปล่อยให้เกิดการละเมิดสิทธิแรงงาน
หรือแม้กระทั่งสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบภายในกลไกการผลิตและแลกเปลี่ยนในระดับนี้ได้?</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">ในปี </span><span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">2554 <span lang="TH">แอปเปิ้ลทำกำไรเฉลี่ยต่อพนักงานหนึ่งคนเท่ากับ
</span>4 <span lang="TH">แสนเหรียญสหรัฐ (ประมาณ </span>12,000,000 <span lang="TH">บาท)
ขณะที่โครงสร้างตลาดที่บิดเบี้ยวทำให้อัตรากำไรของแอปเปิ้ลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสี่ปี
ขณะที่อัตรากำไรของฟ็อกคอนน์กลับลดลงเกือบ </span>50% <span lang="TH">ภายในช่วงเวลาเดียวกัน
แรงกดดันนี้ทำให้ผู้รับจ้างเหมาช่วงอย่างฟ็อกคอนน์ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำที่สุด
แน่นอนว่า เราต้องไม่มองเรื่องนี้เป็นเพียงปัญหาของฟ็อกคอนน์หรือแอปเปิ้ลโดยเฉพาะ เพราะแบรนด์ข้ามชาติอื่นก็กำลังโอนถ่ายกิจกรรมการผลิตไปให้กับผู้รับจ้างเหมาช่วงในประเทศค่าแรงต่ำมากขึ้น
โรงงานแบบฟ็อกคอนน์จึงเกิดขึ้นมากมายและแข่งขันกันอย่างบ้าคลั่งภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศเหล่านั้น
รวมทั้งประเทศไทย </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Browallia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-bidi-language: TH;">นี่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
ทั้งในแง่กฎหมายและระบบคุณค่าภายในสังคมก็ว่าได้ ในแง่ของกฎหมายนั้น เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเรามีกฎหมายและกลไกคุ้มครองแรงงานที่อ่อนแอและสร้างความได้เปรียบให้กับนายจ้างเสมอ
ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นภายใต้ระบบการเมืองแบบตัวแทนที่ไม่โปร่งใส ในระดับที่ลึกซึ้งกว่านั้น
จะเห็นว่าสังคมปัจจุบันทำให้พวกเรากลับบูชาวัตถุ เทคโนโลยีหรือเงินตรามากกว่าจะมองเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนอื่น
โดยเฉพาะคนยากจนที่กลายเป็นปัจจัยการผลิตที่ถูกแทนที่ใหม่ได้เสมอ สุดท้าย ผมไม่ได้ต้องการให้พวกเราปฏิเสธเทคโนโลยีหรือเงินหรือเพียงประนามนักธุรกิจเป็นพวกโลภมากไม่รู้จักพอเพียงเท่านั้น
แต่หวังว่าบทเรียนจากกรณีของฟ็อกคอนน์และแอปเปิ้ลน่าจะทำให้เราเห็นว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบนี้
ที่ทำให้เราสมยอมเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่คร่าชีวิตคนได้ เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนกับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ที่มีราคาถูกลง
ซึ่งในที่สุดก็จะถูกแทนที่ด้วยรุ่นใหม่กว่าในอีกในกี่เดือนข้างหน้า<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-5787618369398038702012-11-21T22:05:00.001+02:002013-01-02T18:25:29.571+02:00โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบ “ช่างมัน ไม่ใช่บ้านเรา” (เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน กรุงเทพธุรกิจ 12 มกราคม 2555)<br />
<br />
นักธุรกิจภาคอุตสาหกรรมและสื่อมวลชนมักวาดภาพโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายในลักษณะ “ขุมทอง” ที่รัฐบาลไทยและภาคธุรกิจต้องรีบฉกฉวย เพื่อเพิ่มโอกาสและศักยภาพด้านการแข่งขันของไทยท่ามกลางกระแสการปรับยุทธศาสตร์การลงทุนเพื่อตอบรับกับการหลอมรวมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค<br />
<br />
บทวิเคราะห์และรายงานต่างๆ เกี่ยวกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายจึงโน้มเอียงไปในทางโฆษณาความมหึมาของโครงการนี้ เช่น พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภายในโครงการมีขนาดใหญ่กว่านิคมฯ มาบตาพุดถึง 10 เท่า นอกจากนี้ ยังจัดสรรพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรมหนักและเบาแทบทุกประเภทที่เราจะมีจินตนาการไปถึง ไม่ว่าจะเป็นโรงถลุงเหล็ก โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน โรงกลั่นน้ำมันและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ปุ๋ยและกระดาษ ฯลฯ<br />
<br />
9 มกราคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีด้านพลังงานของพม่าเพิ่งประกาศยกเลิกส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินภายในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายตามที่วางแผนไว้ หลังจากรัฐบาลได้เห็นผลการศึกษาและได้ฟัง “เสียงของประชาชนในพื้นที่” เกี่ยวกับความกังวลเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
<br />
<br />
ประสบการณ์ในอดีตเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ในพม่า โดยเฉพาะเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน การใช้แรงงานบังคับ การยึดที่ดินและบังคับโยกย้ายประชาชน ฯลฯ ทำให้คาดการณ์กันตั้งแต่ปรากฏข่าวโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายว่านี่คงเป็นอีกโครงการที่จะก่อให้เกิดผลกระทบในหลายด้านเช่นที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลพม่าในกรณีนี้ รวมทั้งการชะลอการสร้างเขื่อนมิตโซนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ทางตอนเหนือทำให้หลายฝ่ายที่กำลังจับตากระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่าเริ่มมีทัศนคติที่ดีต่อรัฐบาลพม่ามากขึ้น เพราะดูเหมือนว่ารัฐบาลพม่าจะสนใจภาพลักษณ์ของตนในสายตาประชาคมโลกขึ้นมาก<br />
<br />
อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องค่อนข้างตลกร้ายอยู่เหมือนกันที่ประชาชนในทวาย รวมทั้งองค์กรและเครือข่ายที่ติดตามประเด็นสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนอันเนื่องมาจากโครงการขนาดใหญ่ในพม่ากลับต้องหันมาระแวดระวังรัฐบาลและเอกชนไทยมากกว่ารัฐบาล “ประชาธิปไตยแบบควบคุม” ของพม่า ส่วนสำคัญมาจากยุทธศาสตร์เรื่องโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายของรัฐบาลและเอกชนไทยนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะแสวงหาประโยชน์จากเพื่อนบ้านโดยไม่สนใจว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพและวิถีชีวิตของชาวบ้าน เมื่อต้นปีที่แล้ว สื่อได้รายงานคำพูดของนายณรงค์ชัย อัครเศรณี ว่าประเทศไทยคงจะต้องพับโครงการอย่างเซาท์เทิร์นซีบอร์ดและโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบาราแล้วหันไปมุ่งส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ของไทย โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมหนักที่ทวายแทน เนื่องจากโครงการเหล่านี้ในประเทศไทยไม่สามารถเดินหน้าได้ เมื่อประชาชนในพื้นที่ประท้วงและต่อต้านอย่างต่อเนื่อง!<br />
<br />
จากการเดินทางของผู้เขียนเพื่อเก็บข้อมูลในพื้นที่และสัมภาษณ์ชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบ ผู้นำชุมชน นักธุรกิจและพระ รวมทั้งกลุ่มอาสาสมัครที่ติดตามโครงการนี้ ปรากฎว่าชาวบ้านส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ไม่สู้ดีนักกับรัฐบาลไทยและบริษัทผู้รับสัมปทานในการก่อสร้างและดำเนินโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย (นั่นคือ บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด) เนื่องจากพวกเขาได้รับรู้ทัศนคติและท่าทีของรัฐบาลไทยต่อการตัดสินใจผลักดันโครงการนี้จากสื่อ ขณะที่พวกเขาไม่เคยได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายจากในพื้นที่เลย ไม่ว่าจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหรือตัวแทนของบริษัท
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiauf5yEIvIJG4xS4fkBJezVFafyfReD4nE4JdzOcaCZQpieuykXdvjoGrZrtc2r2wOzYfgJiZXJLYevfRTSNKq4tVd36BAideuGuRtnY-v56pbUbh4HzV-lLyAcI4HVGuU8jU/s1600/nocoal.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="270" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiauf5yEIvIJG4xS4fkBJezVFafyfReD4nE4JdzOcaCZQpieuykXdvjoGrZrtc2r2wOzYfgJiZXJLYevfRTSNKq4tVd36BAideuGuRtnY-v56pbUbh4HzV-lLyAcI4HVGuU8jU/s320/nocoal.jpg" width="300" /></a></div>
<br />
ตามข้อมูลจากการศึกษา พบว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการท่าเรือน้ำลึกทวานประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกคือ พื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นโครงการท่าเรือน้ำลึก ซึ่งไม่ค่อยมีประชาชนอาศัยอยู่นักเพราะเป็นพื้นที่สีเขียว (ที่อุดมสมบูรณ์ อยู่ติดกับชายหาด โดยปกติเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนในพื้นที่) อีกส่วนคือ ส่วนที่ถูกกระทบจากการก่อสร้างถนนเชื่อมมายังประเทศไทย (road link) และเส้นทางลำเลียงสำหรับการก่อสร้าง (transmission line) ที่เชื่อมต่อตัวเมืองทวายกับโครงการ ทั้งนี้ การสร้างและขยายเส้นทางทั้ง 2 ทำให้ต้องเวนคืนที่ดินจากประชาชนซึ่งตั้งบ้านเรือนหรือเพาะปลูกอยู่สองข้างทาง ปรากฏว่าได้มีขั้นตอนการขึ้นทะเบียนรายการที่ดินและทรัพย์สินเช่น ประเภทและจำนวนต้นไม้ที่อยู่บนเส้นทางเวนคืนไปตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา โดยไม่มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยที่ชัดเจนกับชาวบ้านเหล่านี้ ที่สำคัญไปกว่านั้น ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความบกพร่องในการให้ข้อมูล รวมทั้งการจ่ายค่าชดเชยเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดิน น่าจะมาจากการบริหารจัดการของบริษัทผู้ได้รับสัมปทาน ซึ่งทำงานร่วมกับบริษัทแม็กซ์ เมียนมาร์ ผู้รับเหมาช่วงเกี่ยวกับการจัดการในพื้นที่<br />
<br />
ผู้เขียนไม่ทราบว่าความบกพร่องในการบริหารจัดการโครงการนี้เป็นผลมาจากความต้องการที่จะแสวงหากำไรสูงสุดของบริษัทที่รับผิดชอบเพียงอย่างเดียวหรือไม่ สิ่งที่ทราบแน่ชัดและบอกได้ก็คือ สิ่งที่เราเห็นว่าเป็น “ขุมทอง” ของเรานั้น สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ เขากลับเห็นว่ามันเป็น “ภัยคุกคาม”<br />
<br />
เรากำลังพูดกันมากเรื่องการทำอาเซียนให้เป็น “ประชาคมแห่งการแบ่งปันและเอื้ออาทร (caring and sharing community)” ถ้าหากเราหมายความแบบนั้นจริงๆ ผู้เขียนคิดว่าก็ควรจะต้องยกเลิกโครงการที่กำลังสร้างความบาดหมางระหว่างประเทศไทยและเพื่อนบ้านลักษณะนี้
Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-27658308258705323902011-07-27T08:10:00.001+03:002011-07-27T08:10:57.163+03:00การโต้กลับของทุนอเมริกัน (จบ) : เศรษฐศาสตร์เพื่อนายทุนของรีพับลิกันตีพิมพ์ในคอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน หน้าทัศนะวิจารณ์ กรุงเทพธุรกิจ 1 มิถุนายน 2554<br /><br />ปฏิกิริยาของคนอเมริกันที่มองเห็นข้อบกพร่องของระบบทุนนิยมหลังจากวิกฤติซับไพร์มและเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐ ทำให้เกิดการ<br />เคลื่อนไหวเพื่อผลักดันให้เกิดสวัสดิการสังคมมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่สำคัญ คือ การปฏิรูประบบประกันสุขภาพโดยผ่านกฎหมาย Affordable Care Act ในปีที่แล้ว ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและความครอบคลุมให้กับเมดิแคร์ (Medicare) โครงการประกันสุขภาพสำหรับผู้ที่มีอายุสูงกว่า 65 และคนพิการ รวมทั้งเพิ่มเติมสิทธิและประโยชน์ของคนกลุ่มอื่นภายในช่วงเวลา 4 ปี<br /> <br />ถึงแม้ประธานาธิบดีโอบามาต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการผ่านกฎหมายดังกล่าว แต่ "วิกฤติหนี้สาธารณะ" ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนสำหรับรัฐบาลขณะนี้กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการหันหลังกลับของนโยบายแบบรัฐสวัสดิการ ร่างข้อเสนองบประมาณสำหรับปีงบประมาณหน้าจากฝ่ายรีพับลิกันถึงกับเสนอให้แปรรูปโปรแกรมเมดิแคร์ไปสู่ผู้ให้บริการที่เป็นเอกชน <br /> <br />ภายใต้ระบบทุนนิยมที่ชูคุณค่า "ปัจเจกชนนิยม" นั้น เมดิแคร์เป็นหนึ่งในไม่กี่โปรแกรมที่มีเค้าโครงใกล้เคียงกับโครงการภายใต้ระบบรัฐสวัสดิการมากที่สุด ความจริง การเกิดขึ้นของเมดิแคร์นั้นมีเหตุผลเชิงประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง เพราะโครงการนี้เกิดขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน ซึ่งถือว่ามีอำนาจทางการเมืองสูงที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ หลังจากได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้ง ไม่ว่าประธานาธิบดีจอห์นสันจะมีเจตจำนงในการสร้างระบบประกันสุขภาพทั่วหน้าหรือไม่ ในที่สุด เขาก็ทำให้เกิดระบบประกันสำหรับคน 2 กลุ่ม คือ เมดิแคร์สำหรับผู้สูงอายุ คนพิการและเมดิเคด (Medicaid) สำหรับคนยากจนที่สุด ทั้งนี้ ความพยายามที่จะผลักดันให้เกิดระบบประกันสุขภาพทั่วหน้าขึ้นมาจากสองระบบนี้ก็ล้มเหลวมาตลอดช่วง 40 ปีที่ผ่านมาด้วยเหตุผลสำคัญ คือ ข้ออ้างในเรื่องของต้นทุนมหาศาลในแง่ของการบริหารจัดการ<br /> <br />จากมุมมองของผู้ที่สนับสนุนนโยบายแนวสวัสดิการ ข้อเสนอให้ลดบทบาทของรัฐในระบบประกันสุขภาพขณะนี้เป็นเพียงจิ๊กซอว์เพียงตัวเดียวของภาพใหญ่ นั่นคือ ความพยายามของฝ่ายอนุรักษนิยมที่จะผลักดันนโยบายแนวเสรีนิยมใหม่ โดยใช้ปัญหาหนี้สาธารณะเป็นข้ออ้าง<br /> <br />อันที่จริง ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโอบามาหลังวิกฤติเศรษฐกิจ เราอาจมองความแตกต่างระหว่างนโยบายที่เสนอโดยเดโมแครตและรีพับลิกันจากแว่นอุดมการณ์เศรษฐกิจได้ชัดเจนขึ้น ขณะที่การจัดการปัญหาเศรษฐกิจของนายโอบามาได้รับอิทธิพลจากเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์เซียนที่เน้นการใช้เครื่องมือทางการคลังอย่างภาษีและงบประมาณรายจ่ายเป็นหลัก ข้อเสนอจากตัวแทนของรีพับลิกันกลับได้รับอิทธิพลจากสำนักการเงินนิยม (Monetarism) ที่มองว่าเป้าหมายของการแทรกแซงควรจะเป็นการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ไม่ใช่การจ้างงานอย่างที่ฝ่ายเคนส์เซียนให้ความสำคัญ<br /> <br />นโยบายแบบเคนส์เซียนเกิดขึ้นจากข้อเสนอเชิงทฤษฎีของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษที่เห็นว่ารัฐบาลควรเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำเพื่อเพิ่มอุปสงค์ที่แท้จริงให้แก่ตลาด แนวนโยบายที่ประยุกต์จากข้อเสนอของเคนส์มีส่วนอย่างมากในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกในทศวรรษ 1930 จนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วน นักเศรษฐศาสตร์ที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อสำนักการเงินนิยม คือ มิลตัน ฟริดแมน (Milton Friedman) ซึ่งเชื่อว่านโยบายการเงินเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการใช้ป้องกันภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งขัดแย้งกับแนวความคิดของเคนส์ที่เชื่อว่าในระหว่างที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำนั้น การใช้นโยบายการเงินจะไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ รัฐบาลจึงควรใช้งบประมาณแบบขาดดุล เพื่อสร้างการลงทุนและการจ้างงานเอง<br /> <br />ถึงแม้ฟริดแมนจะเสียชีวิตไปแล้วในปี 2549 แต่แนวคิดของฟริดแมนยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงต่อนายทุนและกลุ่มอนุรักษนิยมที่สนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ฟริดแมนมีความเชื่อส่วนตัวว่าเสรีภาพส่วนบุคคลรวมถึง "เสรีภาพในการประกอบการ" นั้น เป็นคุณค่าที่สำคัญที่สุดเหนือกว่าความเสมอภาคหรือความเป็นธรรม นอกจากนี้ แนวคิดของฟริดแมนที่ว่าตลาดมีกฎเกณฑ์ที่คล้าย "กฎธรรมชาติ" ของตนเองควบคุมอยู่ ยังสอดคล้องกับอุดมการณ์เศรษฐกิจของฝ่ายอนุรักษ์ที่ต้องการลดบทบาทของรัฐลงให้น้อยที่สุด และปล่อยให้เอกชนดำเนินการเองทุกอย่าง<br /> <br />แนวคิดของฟริดแมนเรื่องเสรีภาพของเอกชนนั้นถูกนำมาประยุกต์เป็นรูปธรรมในร่างงบประมาณของสภาผู้แทนที่ผ่านการลงคะแนนของสภาล่างไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภายในร่างงบประมาณที่เสนอโดยนายพอล ไรอัน ผู้แทนวิสคอนซินจากพรรครีพับลิกันและประธานคณะกรรมการพิจารณาร่างงบประมาณของสภาคนปัจจุบัน มีข้อเสนอสำคัญ 4 เรื่อง คือ ประการแรก ลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลลง โดยเน้นที่รายจ่ายบริหารของหน่วยงานรัฐและการปรับลดพนักงานของรัฐลง ประการที่สอง กำจัดกฎระเบียบที่ควบคุมธนาคารและภาคธุรกิจ ประการต่อมา คือ การปฏิรูประบบภาษี และสุดท้าย แปรรูประบบสวัสดิการของรัฐ <br /> <br />ในข้อเสนอที่นายไรอันเป็นผู้ร่างและตั้งชื่อว่า "เส้นทางสู่ความมั่งคั่ง (Path to Prosperity)" นั้น มีฐานคิดว่ากฎเกณฑ์ข้อบังคับรวมทั้งภาษีจำนวนมากที่เกิดขึ้นภายหลังการบริหารของนายโอบามานั้นมีความซับซ้อน ทำให้นักลงทุนสับสนและมีอิสระในการดำเนินการต่างๆ น้อยลง จึงต้องกำจัดกฎระเบียบเหล่านี้ออกไปและปฏิรูประบบภาษีเสียใหม่ นอกจากนี้ ในมุมมองของนายไรอัน สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าการว่างงาน คือ เงินเฟ้อ! <br /> <br />วิกฤติหนี้สาธารณะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ประธานาธิบดีโอบามากำลังเผชิญหน้าและวิธีการจัดการกับหนี้สาธารณะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่อาจมีผลตัดสินใจว่าเขาจะได้กลับมาทำหน้าที่ประธานาธิบดีในสมัยที่สองอีกหรือไม่ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโอบามาเสนอแผนที่จะลดภาระหนี้สาธารณะภายในระยะเวลา 12 ปี โดยใช้การหั่นงบประมาณในด้านต่างๆ ร่วมกับการเพิ่มภาษีไปพร้อมกัน ขณะที่ทางข้อเสนอจากขั้วรีพับลิกันนั้นสุดโต่งกว่า คือ ใช้เวลาเพียง 10 ปีโดยไม่มีการปรับเพิ่มภาษี แต่ใช้การตัดลดและโอนถ่ายภาระต่างๆ ออกไปจากภาครัฐแทน <br /> <br />ถึงแม้ผลสำรวจที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาในวันที่ 21 พฤษภาคม ได้แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันจำนวนถึง 78% ไม่เห็นด้วยกับการลดการอุดหนุนของรัฐในโครงการเมดิแคร์ รวมทั้งโครงการอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ แต่ข้อเสนอแบบสุดโต่งจากฝ่ายอนุรักษนิยมกลับผ่านความเห็นชอบของสภาล่างและได้รับเสียงสนับสนุนถึง 40% จากสภาสูง เป็นอย่างผู้เขียนได้อ้างคำพูดของพอล ครุกแมน และนาโอมิ ไคลน์ ไว้ในตอน (1) ของบทความชุดนี้ว่า ฝ่ายอนุรักษ์ไม่เคยลังเลที่จะใช้ยาขนานแรง เพื่อยัดเยียดการปฏิรูปขนานใหญ่ให้กับสังคม เมื่อใดก็ตาม ที่เกิดสิ่งที่พอจะเรียกว่าได้ว่า "วิกฤติ" <br /> <br />พวกเขาไม่เคยรีรอที่จะโน้มน้าวใจเราว่าถึงเวลาแล้วที่จะ "พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส" แต่คำถาม ก็คือ โอกาสสำหรับใคร?Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-55592978387900534082011-07-27T08:09:00.001+03:002011-07-27T08:09:50.385+03:00การโต้กลับของทุนอเมริกัน (2) : สมรภูมิวิสคอนซินตีพิมพ์ในคอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน หน้าทัศนะวิจารณ์ กรุงเทพธุรกิจ 24 มีนาคม 2554<br /><br />หนึ่งวันหลังจากกฎหมาย 2011 Wisconsin Act 10 ผ่านสภาของรัฐวิสคอนซิน ในวันที่ 11 มีนาคม 2554<br />ประชาชนนับแสนคนเข้าร่วมการเดินขบวนบนถนนครั้งใหญ่ (massive rally) ไปยังที่ทำการของเมืองแมดิสัน (Madison) เมืองหลวงของวิสคอนซิน เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวร่วมกับบรรดา "คนงาน" ซึ่งปักหลักชุมนุมคัดค้านกฎหมายฉบับนี้มาเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้ว<br /> <br />การเดินขบวนใหญ่ครั้งนี้ถือเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในเมือง ที่มีประวัติศาสตร์การต่อสู้ของขบวนการแรงงานมาอย่างยาวนานที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐ เพราะวิสคอนซิน คือ รัฐแรกที่ให้สวัสดิการการว่างงาน เงินชดเชยการบาดเจ็บจากการทำงาน และก็เป็นแห่งแรกที่ยอมรับสิทธิในการจัดตั้งสหภาพแรงงานของพนักงานของรัฐ<br /> <br />แมดิสัน วิสคอนซิน จึงกลายเป็นสมรภูมิที่สำคัญและเป็นที่จับตามองของนักสหภาพและนักกิจกรรมแรงงานทั่วประเทศ หลังจากที่ "ฝ่ายขวา" ได้เริ่มเปิดฉากการต่อสู้รอบใหม่ภายหลังการเลือกตั้งกลางสมัย (midterm) ที่ครั้งนี้มีสหภาพแรงงานพนักงานของรัฐเป็นเป้าหมายสำคัญ<br /> <br />ตรงข้ามกับความเข้าใจทั่วไปที่ว่าประเทศต้นแบบ "เสรีนิยมใหม่" อย่างสหรัฐอเมริกานั้น แรงงานสัมพันธ์ไม่ได้เป็นประเด็นทางการเมืองในระดับชาติ รวมทั้งสหภาพแรงงานไม่มีบทบาทสำคัญในการเจรจาต่อรองกับทุนและรัฐ ความจริงแล้ว สหภาพแรงงานพนักงานของรัฐถือเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจาก สัดส่วนของแรงงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานนั้นมีสูงถึงร้อยละ 36% ของกำลังแรงงานทั้งหมด นอกจากนี้ ลักษณะการผูกขาดของบริการสาธารณะทำให้สหภาพแรงงานพนักงานของรัฐมีอำนาจต่อรองที่สูง การผละงานแต่ละครั้งทำให้เกิดผลสะเทือนในวงกว้างในแง่ของการทำให้กิจกรรมในชีวิตประจำวันหยุดชะงัก <br /> <br />ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนของสมาชิกสหภาพแรงงานในภาคเอกชนนั้นลดลงจากร้อยละ 33 ของกำลังแรงงานเป็นร้อยละ 15 ขณะที่สัดส่วนในภาครัฐกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่คนงานในภาคเอกชนมีมากกว่าคนงานในภาครัฐถึงกว่าห้าเท่า จำนวนสมาชิกสหภาพแรงงานในภาครัฐของสหรัฐ กลับมีจำนวนถึง 7.6 ล้านคน เมื่อเทียบกับ 7.1 ล้านในภาคเอกชน<br /> <br />นี่คือ แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศอุตสาหกรรมทั่วโลก ในญี่ปุ่นและเยอรมนี ช่องว่างระหว่างจำนวนสมาชิกของสหภาพแรงงานในสองภาคนี้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญและก็ถ่างขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่จำนวนมาก ไม่เพียงแต่สหรัฐ และญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะเกินตัว เราจึงได้เห็นการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลกับสหภาพแรงงานพนักงานของรัฐอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ที่ฝรั่งเศสและกรีซ <br /> <br />ในสหรัฐ "การปฏิรูป" ที่พุ่งเป้าไปที่สหภาพแรงงานภาครัฐรอบนี้ ก็ถูกนำไปโยงกับปัญหาการขาดดุลงบประมาณ และถูกอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามลดขนาดของรัฐ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จำนวนมากตั้งข้อสังเกตว่า "การโต้กลับของฝ่ายทุน" โดยการนำของวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันในฝั่งมิดเวสต์นั้น ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องงบประมาณมากไปกว่าความพยายามจะทำลายสหภาพแรงงานพนักงานของรัฐ ที่เปรียบเสมือน "ก้างชิ้นใหญ่" ที่ขวางคอฝ่ายทุนซึ่งต้องการให้ตลาดแรงงานมีความ "ยืดหยุ่น" อย่างเต็มที่ เมื่อการจ้างงานในภาคเอกชนถูกทำให้ "ยืดหยุ่น" และ "แข่งขันได้" ไปราบคาบแล้ว แต่แรงงานในภาครัฐยังคงได้รับการปกป้องสิทธิและสวัสดิการในระดับที่ดีและมีแต่จะเพิ่มอิทธิพลทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น เราต้องไม่ลืมว่าแรงงานในสหภาพเหล่านี้มีบทบาทอย่างสำคัญ ที่ช่วยส่งให้นายโอบามาขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้ สถิติที่น่าสนใจอีกอัน ก็คือ ตัวแทนอาชีพครูนั้นมีจำนวนมากถึงร้อยละ 10 ของผู้เข้าร่วมประชุมประจำปีของพรรคเดโมแครตในปี 2008 ทีเดียว<br /> <br />พอล ครุกแมน (Paul Krugman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2008 ได้วิจารณ์ว่าการใช้วิกฤติหนี้สาธารณะเป็นข้ออ้างในการออกกฎหมายเพื่อปฏิรูปโครงสร้าง ซึ่งมีวาระซ่อนเร้นเพื่อทำลายกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่เป็นอุปสรรคขัดขวางของฝ่ายทุนบรรษัท (Corporation) ตามที่นายสก็อตต์ วอล์คเกอร์ (Scott Walker) ผู้ว่าการรัฐวิสคอนซินและวุฒิสมาชิกจากรีพับลิกันกำลังทำนั้น สอดคล้องกับสิ่งที่นักเขียนนาโอมิ ไคลน์ (Naomi Klein) ใช้เรียกสิ่งที่สหรัฐเคยทำกับอิรักในปี 2003 หรือ "ลัทธิช็อก (Shock Doctrine)" <br /> <br />ทั้งครุกแมนและไคลน์ออกมาแสดงความเห็นว่าการต่อสู้ที่วิสคอนซินสะท้อนความพยายามของฝ่ายทุนในการผลักดันโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายทุนมากขึ้น โดยใช้เรื่องวิกฤติการคลังเป็นเพียงข้ออ้าง ครุกแมนยังชี้ว่ากฎหมายที่เสนอโดยนายวอล์คเกอร์มีผลเกินกว่าการยกเลิกสิทธิในการเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่ม (collective bargaining rights) ของสหภาพแรงงาน หากพิจารณาเนื้อหาของกฎหมายนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่ากฎหมายฉบับนี้ยังเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารตัดสินใจตัดหรือลดสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลของคนงานโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติ รวมถึงให้อำนาจการตัดสินใจแปรรูปบริการสาธารณะ เช่น โรงไฟฟ้ากับผู้ว่าการรัฐ โดยไม่ต้องปรึกษาหารือกับสหภาพแรงงานก่อน<br /> <br />ในช่วงที่มีการลงมติผ่านกฎหมายฉบับนี้ในวิสคอนซิน ผู้แทนจากพรรคเดโมแครต 14 คน ทำการประท้วงโดยเดินทางออกจากวิสคอนซินไปพักในรัฐข้างเคียง คือ อิลลินอยส์ เพื่อให้การลงมติในกฎหมายดังกล่าวไม่สามารถดำเนินไปได้ตามข้อกำหนดในเรื่ององค์ประชุม อย่างไรก็ตาม นายวอล์คเกอร์ก็แก้ลำโดยการแยกส่วนที่เป็นงบประมาณออกไป และผ่านกฎหมายส่วนที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิของพนักงานของรัฐ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการลงคะแนนเสียง ซึ่งก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อของฝ่ายแรงงานและผู้สนับสนุนว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความพยายามทำลายขบวนการแรงงาน และการเปิดฉากโต้กลับรอบใหม่ของฝ่ายทุนในสหรัฐ <br /> <br />ขณะที่กำลังเขียนบทความชิ้นนี้ กฎหมายลักษณะเดียวกันกำลังเกิดขึ้นในหลายรัฐ เช่น โอไฮโอและอินเดียนา ขณะที่ผู้ว่าการวอล์คเกอร์เองก็ได้รับการสรรเสริญจากกลุ่มทุนว่าเป็น "ฮีโร่" คนใหม่ของสหรัฐในอีกฝั่งหนึ่ง ผู้คนจากหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่เกษตรกร ครู นักศึกษาไปจนถึงผู้กำกับและดาราภาพยนตร์ก็เข้าชุมนุมร่วมกับคนงานในวิสคอนซิน รวมทั้งการชุมนุมในแบบเดียวกันก็กำลังเกิดขึ้นตามเมืองต่างๆ ทั่ววิสคอนซินจนทำให้สมรภูมิวิสคอนซินได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นที่จับตามองของทั่วโลก เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าการต่อสู้ระหว่างทุนและขบวนการแรงงานรอบนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไรKriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-56023486402992584762011-07-27T08:00:00.000+03:002011-07-27T08:08:43.760+03:00การโต้กลับของทุนอเมริกัน (1) : เมื่อสหภาพพนักงานของรัฐถูกจับเป็นตัวประกันตีพิมพ์ในคอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน ทัศนะวิจารณ์ กรุงเทพธุรกิจ 28 เมษายน 2554<br /><br /><br />ถึงแม้กฎหมายที่เป็นต้นตอของความขัดแย้งและการชุมนุมยืดเยื้อในเมืองเมดิสัน วิสคอนซิน จะผ่านสภาของรัฐไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแต่กฎหมายดังกล่าวก็ถูกระงับอย่างไม่มีกำหนดโดยผู้พิพากษาของมณฑลเดน (เดนเคาน์ตี้-Dane County) ในวิสคอนซิน หลังจากอัยการได้ยื่นเรื่องว่าเกิดการละเมิดขั้นตอนในระหว่างผ่านกฎหมาย <br /> <br />ภายหลังจากกฎหมายที่เสนอโดยผู้ว่าการรัฐสกอตต์ วอล์คเกอร์ ผ่านการลงมติ ปรากฏว่ามีการฟ้องร้องจากบุคคลถึง 3 กลุ่ม ได้แก่ อัยการของเคาน์ตี้ ผู้บริหารเคาน์ตี้จากเดโมแครตและพนักงานของรัฐที่นำโดยกลุ่มพนักงานดับเพลิง ความคืบหน้าล่าสุด คือ ผู้พิพากษาได้ตัดสินว่าผู้บริหารจากเดโมแครตไม่สามารถฟ้องร้องได้ เพราะขัดกับหลักการที่ห้ามกลไกของรัฐฟ้องร้องการออกกฎหมายของรัฐเอง<br /> <br />ดูเหมือนว่าความพยายามยับยั้งกฎหมายฉบับนี้ไม่ให้มีผลบังคับใช้จะเป็นได้เพียงแค่การซื้อเวลา ขณะที่กระแสสนับสนุนการลดบทบาทของรัฐจากฝ่ายอนุรักษนิยมโดยการนำของกลุ่มทีปาร์ตี้ นับวันก็ยิ่งแรงขึ้นเมื่อใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในปีหน้า วันเสาร์ที่ผ่านมา (16 เม.ย.) ซาราห์ เพ-ลิน อดีตผู้สมัครรองประธานาธิบดีจากรีพับลิกันเดินทางมาปราศรัยถึงที่ทำการของรัฐวิสคอนซิน ซึ่งเป็นที่ปักหลักชุมนุมยืดเยื้อของกลุ่มต่อต้านกฎหมายฉบับดังกล่าว พร้อมกับประกาศกับกลุ่มผู้สนับสนุนจากทีปาร์ตี้ที่มาให้กำลังใจเธอว่า "การเลือกตั้ง 2012 เริ่มต้นขึ้นที่นี่!"<br /> <br />วิสคอนซินจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของการต่อสู้ในหลายระดับ สำหรับการเมืองระบบสองพรรค วิสคอนซินเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตใช้ประกาศศึกก่อนสงครามที่แท้จริง ส่วนในมุมมองของขบวนการเคลื่อนไหว เช่น ทีปาร์ตี้และฝ่ายแรงงานแล้ว วิสคอนซินสะท้อนภาพการช่วงชิงระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนแนวคิดเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องการลดบทบาทของรัฐกับฝ่ายที่สนับสนุนความเป็นธรรมภายในระบบทุนนิยม<br /> <br />สำหรับกลุ่มพนักงานของรัฐ ความไม่พอใจเกิดจากกฎหมายฉบับนี้ตัดสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วม (Collective bargaining rights) ของคนงานที่มีอยู่เกือบทั้งหมดและมีผลอย่างสำคัญในการลดทอนอำนาจของสหภาพแรงงาน ที่เป็นกลไกสำหรับต่อรองกับรัฐ <br /> <br />กฎหมายใหม่ห้ามไม่ให้พนักงานรัฐนำค่าสมาชิกของสหภาพในรายปีมาหักลดหย่อนจากเงินเดือนอีกต่อไป เท่ากับว่ารัฐเลิกทำการอุดหนุนกิจกรรมของสหภาพโดยตรงอย่างที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ ยังกำหนดให้พนักงานของรัฐต้องลงคะแนนทุกปีว่าจะต้องการให้มีสหภาพแรงงานเป็นตัวแทนของตนต่อไปหรือไม่<br /> <br />ขณะที่กฎหมายมีผลในการลดทอนสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมและสิทธิประโยชน์ของพนักงานของรัฐโดยรวม แต่พนักงานของรัฐแต่ละกลุ่มก็ได้รับผลกระทบในระดับที่แตกต่างกันไป เช่น กลุ่มพนักงานของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เช่น อาจารย์และเจ้าหน้าที่นั้นถูกตัดสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมที่มีอยู่ทั้งหมด (ทั้งที่เพิ่งได้รับมาเมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากพนักงานมหาวิทยาลัยเรียกร้องสิทธินี้มาเป็นเวลาถึง 40 ปี) ส่วนพนักงานของรัฐที่ไม่ได้สังกัดมหาวิทยาลัยนั้น หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ ข้อตกลงสภาพการจ้างงาน (collective bargaining agreement) จะครอบคลุมเฉพาะเรื่องค่าจ้างเพียงอย่างเดียว โดยไม่ครอบคลุมถึงเรื่องชั่วโมงการทำงาน สภาพการทำงาน ฯลฯ ที่คนงานเคยมีส่วนร่วมกำหนดโดยผ่านกระบวนการเจรจาต่อรองของสหภาพ<br /> <br />ขณะที่สิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมนั้นเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญของแรงงานในภาคเอกชน เพราะเป็นกลไกในการถ่วงดุลระหว่างนายจ้างและคนงาน เพื่อคุ้มครองคนงานที่ต้องการเรียกร้องสิทธิในเรื่องค่าแรง ฯลฯ จากการถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม แต่สำหรับพนักงานของรัฐ ฝ่ายที่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้กลับเห็นว่า สิทธิดังกล่าวเป็นเพียง "อภิสิทธิ์" ที่ได้มาจากการใช้อิทธิพลทางการเมืองกดดันผ่านกลุ่มผลประโยชน์ของตนเท่านั้น <br /> <br />ในระบบกฎหมายแรงงานของสหรัฐ สิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมของแรงงานภาคเอกชนได้รับการคุ้มครองเป็นครั้งแรกเมื่อประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ ผ่านกฎหมายแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ (National Labor Relations Act) ในปี 1935 โดยหลักการ กระบวนการที่คนงานรวมตัวกันต่อรองกับนายจ้างเกี่ยวข้องกับ 3 เรื่องหลัก คือ กฎเกณฑ์ที่กำกับความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย ค่าจ้างค่าแรงและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของทั้งคู่ เช่น ลักษณะงาน ชั่วโมงการทำงาน สภาพการทำงาน ความปลอดภัยในการทำงาน การยุติสัญญาการจ้าง เป็นต้น กระบวนการเจรจาต่อรองร่วมนั้นยังเกี่ยวข้องกับการปรึกษาหารือและการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน โดยมีเป้าหมาย คือ สัญญาสภาพการจ้างงานที่กำหนดรายละเอียดต่างๆ อันเป็นผลจากการเจรจาต่อรองร่วมเอาไว้ ทั้งนี้ กฎหมายในแต่ละประเทศกำหนดขอบเขตของประเด็นที่นายจ้างหรือฝ่ายบริหารต้องเจรจากับตัวแทนลูกจ้างแตกต่างกันไป <br /> <br />สำหรับหลักการเรื่องสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมของพนักงานรัฐนั้นได้รับการรับรองจากคำสั่งทางบริหารของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ในปี 1962 ซึ่งมีศักดิ์และสิทธิต่างจากกฎหมายแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติที่รับรองสิทธิของแรงงานในภาคเอกชน ในทางปฏิบัติ รัฐแต่ละรัฐจึงกำหนดสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมและสิทธิในการนัดหยุดงานของพนักงานรัฐแตกต่างกันไป เช่น ในบางรัฐ คนงานไม่สามารถนัดหยุดงานได้ ต้องใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยเมื่อเกิดข้อพิพาทเท่านั้น<br /> <br />สิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมของพนักงานในแต่ละรัฐจึงได้มาจากการเรียกร้อง กดดันและใช้อิทธิพลทางการเมืองในระดับที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พลังต้านการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐด้วย เช่น กฎหมายซึ่งได้รับการเสนอแก้ไขโดยผู้ว่าการรัฐโอไฮโอนั้นมีความรุนแรงกว่าที่วิสคอนซินมาก ทั้งในแง่ของการลดอำนาจสหภาพแรงงานและกระทบสิทธิและสวัสดิการของพนักงานรัฐแต่การต่อต้านกลับน้อยกว่าและกฎหมายก็ผ่านไปได้อย่างไม่มีปัญหา <br /> <br />หลายคนอาจมองว่าความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ เป็นเพียงภาพสะท้อนอิทธิพลทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นของพรรครีพับลิกันภายหลังจากชัยชนะในการเลือกตั้งกลางสมัยในสองสภา แต่หากมองให้ลึกซึ้งไปกว่านั้น มันก็เป็นภาพสะท้อนความเชื่อพื้นฐานและมุมมองที่แตกต่างกันของเดโมแครตและรีพับลิกันเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของสหภาพแรงงาน รวมทั้งสิทธิแรงงานในระดับรวมกลุ่มและปัจเจก <br /> <br />ในแง่หนึ่ง อาจจะพูดได้ว่าความพยายามทำลายสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมของพนักงานของรัฐครั้งนี้ เป็นเพียงการส่งสัญญาณถึงการกลับมาของฝ่ายที่เชื่อมั่นในระบบเสรีนิยมแบบสุดโต่ง ที่เชื่อเหมือนกับมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ว่า "there is no such thing as society (ไม่มีหรอก สิ่งที่เรียกว่าสังคม)"Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-51882968071874613882011-02-19T08:15:00.003+02:002011-02-19T08:25:55.369+02:00มาร์ค กราโนเวตเตอร์:นัยยะของสังคมวิทยาและ "กระบวนการทางสังคม" ต่อนโยบายสาธารณะแปลจาก "Mark Granovetter: The Need to Take Social Processes as Seriously as the Economic or Psychological" ที่มา http://www.aapss.org/news/2010/06/01/mark-granovetter-the-need-to-take-social-processes-as-seriously-as-the-economic-or-psychological-1<br /><br /><br /><blockquote>หลักการเรื่องนโยบายด้านเครือข่ายน่าจะสามารถดึงดูดใจกลุ่มคนที่ต้องการลดบทบาทของรัฐอย่างมาก เพราะเมื่อเรายกระดับความเข้มแข็งของเครือข่ายทางสังคมที่มีอยู่ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีระบบราชการขนาดใหญ่ที่มีความสัมพันธ์กับสังคมแบบไม่ราบรื่น ยุ่งยากและต้นทุนสูง ความจริงแล้ว ถ้าเราย้อนดูประวัติศาสตร์ อันนี้คือหนึ่งในอุปสรรคที่ขัดขวางโครงการทางสังคมที่มีดีจำนวนมาก </blockquote><br /><br /><em><strong>ในโอกาสที่ The Amercian Academy of Political and Social Science (AAPSS) ประกาศเกียรติคุณให้ ศ.มาร์ค กราโนเวตเตอร์เป็น James Coleman Fellow เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาชิกของสถาบันและแขกในงานนั้นเกี่ยวกับผลงานของเขาและความเชื่อมโยงต่อภาคนโยบายสาธารณะ มีใจความดังต่อไปนี้</strong></em><br /><br />"หน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายในคืนนี้และก็ดูเหมือนว่าผมได้ตอบรับมันไปแล้ว ก็คือ พูดถึงอิทธิพลของงานตัวผมเองและของสาขาของผม (สังคมวิทยา: ผู้แปล) ต่อนโยบายสาธารณะ ปัจจุบัน หากนักสังคมวิทยาพูดถึงเรื่องนี้ก็มักจะตีความได้ว่าเขาอยากให้มันมีอิทธิพล มากกว่าเชื่อว่ามันมีจริงๆ เนื่องจากผลกระทบของสาขาของพวกเราต่อนโยบายนั้นมันน้อยมากอย่างน่าเศร้าใจ มันจึงดูเหมือนว่านี่คือสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง<br /><br />ชื่อ "จิม โคลแมน" ตามที่ตำแหน่งวิชาการของผมถูกตั้งชื่อตามนั้น ดูเหมือนเป็นข้อยกเว้นที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงก็คือคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ของจิมต่อนโยบายมาจากรายงานของเขาในปี 1966 เกี่ยวกับโรงเรียนและความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งมีชื่อที่ยาวเยิ่นเย้อจนไม่มีใครจำได้ ทุกคนจึงเรียกมันว่า "รายงานโคลแมน" ที่จริงแล้ว จิมได้เขียนรายงานนี้ในขณะที่อาชีพวิชาการของเขาเพิ่งเริ่มต้น และยิ่งเขาทำงานวิชาการลึกมากขึ้นไป ปรากฏว่าอิทธิพลของเขาต่อนโยบายก็ยิ่งถดถอยตามไปด้วย ตัวผมเองทำงานวิจัยเกี่ยวกับเครือข่ายทางสังคมและสังคมวิทยาเศรษฐกิจ ซึ่งดูเหมือนว่าน่าจะเป็นสาขาที่สามารถมีอิทธิพลต่อนโยบายทางสังคมได้ แต่ก็ยังคงไม่มีสภาที่ปรึกษาทางสังคมเกิดขึ้นเพื่อทำงานเสริมสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ที่ปรึกษาด้านสังคมวิทยาก็ยังไม่เคยเป็นที่ต้องการในขั้นตอนการกำหนดนโนบายระดับสูง ซึ่งนำมาสู่คำถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? มันอาจจะเป็นเพราะว่าคำปรึกษาของนักเศรษฐศาสตร์อาชีพได้ประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อในการป้องกันพายุฝนทางเศรษฐกิจและชะลอการถาโถมของคลื่นเศรษฐกิจ ซึ่งข้อสรุปนี้ก็ไม่เป็นจริง จริงๆ แล้ว มีหนังสือที่ดีมากโดยนักประวัติศาสตร์ไมเคิล เบิร์นสไตน์ (Michael Bernstein) ที่ University of California at San Diego (UCSD) ชี้ให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว อิทธิพลของนักเศรษฐศาสตร์ต่อภาคนโยบายก็ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างมากตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 และ 21 และเราไม่สามารถบอกได้เลยว่ามันมีความสำคัญขนาดนั้น<br /><br />กลับมาที่สถานการณ์ของสังคมวิทยา เพื่อนร่วมงานชาวอิตาเลียนของผม คาร์โล ตริกิเลีย (Carlo Trigilia) ได้ตั้งคำถามเมื่อหลายปีก่อนอย่างเจาะจงว่าทำไมสังคมวิทยาเศรษฐกิจ (economic sociology) ที่ดูเหมือนจะมีแนวคิดมากมายเป็นประโยชน์ต่อนโยบายกลับมีอิทธิพลน้อยมาก ข้อเสนอของเขาก็คือ นักสังคมวิทยาเศรษฐกิจส่วนใหญ่มักทำการวิเคราะห์ในระดับมหภาค (macro) และระดับกึ่งกลาง (meso) ระหว่างระดับมหภาคและจุลภาค เมื่อพูดถึงการทำงานของเครือข่ายทางสังคมจึงมีความซับซ้อนมาก และเพราะว่ามันมีความซับซ้อนอย่างนั้นมันก็จึงยากมากที่จะสร้างข้อเสนอเชิงนโยบายออกมา ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ศึกษาแรงจูงใจของปัจเจกบุคคลซึ่งพวกเราเข้าใจว่ามันคืออะไรและนักเศรษฐศาสตร์ก็เสนอให้นโยบายกำกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งมันง่ายที่จะทำความเข้าใจ ถึงแม้ผมจะคิดว่ามันซับซ้อนมากกว่าที่เห็นมากในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะโต้แย้งว่าในความเป็นจริง มันตรงข้ามกับสิ่งที่คาร์โลเสนอ กล่าวคือ ถึงแม้ผลกระทบของกระบวนการของเครือข่ายทางสังคมจำนวนมากจะยากที่จะทำนาย และถ้าคุณอ่านงานศึกษาเกี่ยวกับเครือข่ายที่ซับซ้อนในปัจจุบัน มันก็ค่อนข้างเป็นเทคนิคและซับซ้อน แต่ผมกลับคิดว่ามีข้อเสนอเชิงนโยบายหลายอย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการศึกษาเรื่องเครือข่ายทางสังคมซึ่งในความเป็นจริงค่อนข้างง่ายที่จะเข้าใจ และน่าจะเป็นการพัฒนาแนวทางที่กำลังทำกันอยู่อย่างชัดเจน<br /><br />ผมจึงขอพูดอะไรสักเล็กน้อยเกี่ยวกับแนวความคิดเกี่ยวกับนโยบายกลุ่มหนึ่งที่นักสังคมวิทยาอาจสร้างขึ้น ถ้าหากพวกเขามีเวลาและกำลังและถ้าหากเรื่องนโยบายจะได้รับความสนใจจริงจังมากขึ้นในสาขาวิชานี้ ยังไงก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะอาจจะเกิดขึ้นไม่ได้จนกว่าความคิดเชิงนโยบายด้านสังคมวิทยาจะเป็นที่ต้องการของผู้กำหนดนโยบายด้วย ดังนั้น อย่างที่เราเห็นว่ามันมีวงจรอุบาทว์อยู่ เพราะมีพวกเราไม่กี่คนอยากจะเสียเวลาผลักดันเรื่องนโยบายถ้าหากมันไม่มีความสนใจในเรื่องนี้มากนัก แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็ไม่อาจมีความสนใจเกิดขึ้นได้หากเราไม่ได้ทำลงมือทำมัน จะหยุดวงจรอุบาทว์นี้ได้อย่างไรเป็นประเด็นสำคัญ แต่อาจจะต้องพูดคุยกันในโอกาสอื่น ดังนั้น ผมขออนุญาตเสนอแนะอย่างนี้ วิธีง่ายที่สุดที่จะเข้าใจข้อเสนอของผมก็คือ พูดว่ามันมีประสิทธิภาพในแง่ของต้นทุนอย่างมากที่จะใช้ประโยชน์จากกระบวนการเครือข่ายทางสังคมที่มีอยู่แล้ว พวกนายจ้างได้ทำสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วตลอดเวลาโดยพวกเขาไม่ได้รู้ทฤษฏี แต่พวกเขารู้ว่าอะไรเวิร์ค ยกตัวอย่าง เวลาพวกเขารับสมัครคนงานใหม่โดยผ่านเครือข่ายทางสังคมของลูกจ้างที่มีอยู่ ก็เพราะพวกเขารู้ว่าพนักงานใหม่จะปรับตัวเข้ากับที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วและจะอยู่ภายใต้กลไกการกำกับทางสังคมที่มีประสิทธิภาพโดยผ่านสายสัมพันธ์กับลูกจ้างคนอื่นๆ อันที่จริง นายจ้างเหล่านี้ไม่ได้ลงทุนเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดผลพวกนี้และพวกเขาก็ไม่สามารถจะลงทุนได้ด้วยถึงแม้จะต้องการมันก็ตาม ผมจึงคิดว่าการใช้ประโยชนจากเครือข่ายทางสังคมที่มีอยู่แล้วเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับ "ของฟรี (free lunch)" ในชีวิตประจำวันและอย่างที่เรารู้ ต้นทุนเป็นเรื่องสำคัญมาก เรามีตัวอย่างลักษณะนี้อยู่จำนวนมาก อีกตัวอย่าง คือผู้บริโภคซื้อรถใช้แล้วจากญาติ เพราะพวกเขาคาดว่าจะได้รับข้อมูลที่ตรงกับความจริงมากขึ้นและราคาที่เป็นธรรมมากกว่า จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ต้องจ่ายอะไรเพื่อให้ได้ประโยชน์เหล่านี้ มันตรงกันข้ามด้วยซ้ำ หรือคนที่ระดมทุนเพื่อประเด็นทางสังคมก็อาศัยโยงใยของเครือข่ายที่มีเพื่อกระจายความสนใจและสร้างความกระตือรือร้นระหว่างกลุ่มคนที่สนใจในความคิดความเห็นของพวกเดียวกัน นี่คือสิ่งที่ทำให้การระดมทุนจากกลุ่มคนคอเดียวกันมีประสิทธิภาพอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในวงเล็บผมอาจจะต้องพูดว่ามันก็เป็นดาบสองคม อย่างที่เราเรียนรู้จากกรณีอื้อฉาวของการฉ้อโกงแบบเครือข่าย เช่นตัวอย่างของกลวิธีของเบอร์นี แมดดอฟ (Bernie Madoff อดีตที่ปรึกษาและผู้บริหารด้านการเงินซึ่งถูกตัดสินด้วยข้อหาฉ้อโกงเงินในลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่ ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกาในปี 2552: ผู้แปล) เรารู้ดีว่าแง่ลบทั้งหมดต้องอยู่แค่ในวงเล็บ<br /><br />มันมีการนำหลักการเหล่านี้ไปปรับใช้เป็นนโยบายสาธารณะอย่างง่ายๆ อยู่ ลองพิจารณาความพยายามที่จะฝึกทักษะใหม่ให้กับคนยากจนและ/หรือคนว่างงานเพื่อที่จะช่วยให้พวกเขาพ้นจากความยากจน ซึ่งได้กลายเป็นนโยบายหลักช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกากลับถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป้าหมายในการปรับทัศนคติ ปรับปรุงทุนมนุษย์ (human capital) และความสามารถในการหางานของผู้ที่เข้าโครงการ ซึ่งเหตุผลที่เรามองมันในแบบนี้ ผมคิดว่าเป็นผลมาจากอิทธิพลของสาขาจิตวิทยาและเศรษฐศาสตร์ต่อภาคนโยบายสาธารณะ ความจริงคือว่าโครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรและมีโครงการจำนวนน้อยที่ได้ผลดีก็คือโครงการที่ผู้ฝึกอบรมมีความสัมพันธ์แบบเครือข่ายที่ดีกับนายจ้างท้องถิ่นที่พวกเขาได้พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นเพื่อช่วยให้พวกเขามีที่ทางในชุมชนนั้น ทั้งนี้ มีงานวิจัยที่น่าสนใจในเรื่องนี้ ไม่มากนักแต่ก็มีอยู่บ้าง เช่นที่ Edwin Melendez[1] และ Ben Harrison ผู้ล่วงลับได้ทำขึ้น ในปัจจุบัน หลักการเรื่องเครือข่ายเป็นเรื่องง่ายมาก ในตลาดแรงงานทั่วไป คนส่วนใหญ่หางานโดยผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัว ถึงแม้คุณจะได้รับการฝึกทักษะและคำปรึกษาด้านจิตวิทยาแต่ถ้าคุณไม่มีคอนเนคชั่นกับนายจ้างแล้ว คุณก็ยังคงเสียเปรียบอยู่ดีเมื่อเทียบกับคนที่รู้จักกับใครบางคนในบริษัทที่ต้องการจ้างงาน ทางออกก็คือพัฒนาโครงการที่บุคลากรบางส่วนรับผิดชอบด้านการสร้างความสัมพันธ์แบบเครือข่ายกับนายจ้าง สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและทำข้อตกลงกับบริษัทว่าจะจัดหาคนงานที่ผ่านการรับรองให้ เพราะเจ้าหน้าที่รู้จักคนงานเหล่านี้จริงๆ แต่สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเท่าใดนัก เหตุผลหนึ่งก็คือเรามักจะมองการฝึกอบรมในฐานะปริมณฑลของนักจิตวิทยา ที่แนวคิดเรื่องความเป็นนักวิชาชีพทำให้พวกเขาปฏิเสธงานที่ต่ำต้อยอย่างการเดินทางไปโรงงานที่มีสภาพแวดล้อมไม่น่ารื่มรมย์นักเมื่อเทียบกับสถานที่ฝึกอบรมที่ทันสมัย ดังนั้น ผมคิดว่าสังคมวิทยาของวิชาชีพช่วยให้เราเห็นไม่เพียงแต่ว่านโยบายถูกนำไปผิดทางได้อย่างไรแต่ยังมองเห็นว่าประโยชน์ส่วนตัวทำให้เกิดแรงเสียดทานต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เราอยากจะเห็นอย่างไรด้วย<br /><br />ผมคิดว่ามีการประยุกต์ใช้หลักการเรื่องเครือข่ายในลักษณะดังกล่าวให้เป็นนโยบายได้หลายเรื่อง รวมถึงงานที่สำคัญเกี่ยวกับการสืบหาผู้ก่อการร้ายตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งก็ถือเป็นปัญหาเรื่องเครือข่ายเช่นเดียวกัน หรือผู้ที่ศึกษาด้านสาธารณะสุขก็คงจะตระหนักอยู่พอสมควรถึงความจำเป็นของการค้นหาและกำหนดเป้าหมายสำคัญหรือศูนย์กลางที่ส่วนต่อการแพร่กระจายโรคหรือพฤติกรรมเสี่ยงเช่นการสูบบุหรี่หรือการใช้สารเสพติด รวมทั้งความสำคัญของการทุ่มเทความพยายามไปให้ถูกจุดเพื่อลดผลกระทบของสิ่งเหล่านี้ เพราะมันเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการพุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้หรือกลุ่มพฤติกรรมเสี่ยงแบบสุ่ม ยังไงก็ตาม ความคิดที่เป็นระบบเกี่ยวกับเครือข่ายทางสังคมยังไม่ได้เข้าไปสู่วาทกรรมของนโยบายในภาพรวมเท่าใดนัก ซึ่งผมคิดว่าเราจำเป็นต้องทุ่มเทกำลังไปในทิศทางนี้ให้มากขึ้นและผมอยากจะเสริมว่าความริเริ่มเหล่านี้มีความเป็นกลางทางการเมือง อันที่จริง หลักการเรื่องนโยบายด้านเครือข่ายน่าจะสามารถดึงดูดใจกลุ่มคนที่ต้องการลดบทบาทของรัฐอย่างมาก เพราะเมื่อเรายกระดับความเข้มแข็งของเครือข่ายทางสังคมที่มีอยู่ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีระบบราชการขนาดใหญ่ที่มีความสัมพันธ์กับสังคมแบบไม่ราบรื่น ยุ่งยากและต้นทุนสูง ความจริงแล้ว ถ้าเราย้อนดูประวัติศาสตร์ อันนี้คือหนึ่งในอุปสรรคที่ขัดขวางโครงการทางสังคมที่มีดีจำนวนมาก<br /><br />ทั้งหมดนี้คือข้อเสนอที่รวบรัดมากเพื่อให้พวกเราเข้าใจว่าการให้ความสำคัญกับกระบวนการทางสังคมในแบบเดียวกับปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและจิตวิทยาจะช่วยปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายสังคมได้อย่างไร และหากว่าคำวิจารณ์ของผมในโอกาสนี้จะทำให้เกิดการขยับเคลื่อนไปข้างหน้าแม้เพียงนิดเดียว ผมก็จะรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก"<br /> <br />*มาร์ค กราโนเวตเตอร์ เป็นศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา มีบทบาทอย่างสูงในการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางสังคม โดยเฉพาะในรูปของเครือข่ายทางสังคมต่อการทำงานของระบบเศรษฐกิจ บทความที่มีอิทธิพลอย่างสูงคือ "The Strength of Weak Ties" และ "Economic Action and Social Structure: The Problem of Embeddedness" ที่เผยแพร่ใน American Journal of Sociology ในปี 1973 และ 1985 ตามลำดับ บทความชิ้นหลังนี้ได้มีส่วนในการก่อให้เกิดสำนัก "สังคมวิทยาเศรษฐกิจใหม่ (new economic sociology)" ในสหรัฐอเมริกา <br /> <br />Note<br />[1]ดูประวัติการศึกษาและผลงานวิชาการได้ที่ http://www.newschool.edu/lang/faculty.aspx?id=1670Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-54050441286488182112011-02-18T13:42:00.005+02:002011-02-18T13:52:26.685+02:00ผลประโยชน์ของชาติ (ไทย) และประชาชน (พม่า)<span style="font-style:italic;">จากคอลัมน์ "มุมมองบ้านสามย่าน" หน้าทัศนะวิจารณ์ กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 2 ธันวาคม 2553<blockquote></blockquote></span><br /><br />ถึงแม้การเลือกตั้งทั่วไปของพม่าในวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมาจะถูกวิจารณ์ว่าไม่อาจนำไปสู่กระบวนการปรองดองและ ประชาธิปไตยภายในพม่าอย่างแท้จริงได้ แต่หลายประเทศกลับปรับเปลี่ยนนโยบายและท่าทีในทางเศรษฐกิจกับรัฐบาลใหม่ของ พม่าอย่างรวดเร็วหลังจากการเลือกตั้งเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน ล่าสุด นางอองซานซูจีได้ออกมาแสดงความผิดหวังที่อินเดียเปลี่ยนท่าทีต่อรัฐบาลพม่า ภายหลังการเลือกตั้ง โดยอินเดียหันไปเจรจาเรื่องการลงทุนกับรัฐบาลใหม่แทนที่จะสนับสนุนพรรคกา เมืองฝ่ายค้านของเธออย่างที่เคยเป็นมา<br /> <br />ในช่วงก่อน หน้าการเลือกตั้งนั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะนายกฯ อภิสิทธิ์ของไทยที่ไม่แสดงท่าทีวิพากษ์ (critical) อย่างเพียงพอต่อการจัดการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใสและไม่เปิดกว้าง ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลไทยก็ไม่รีรอที่จะแสดงความยินดีกับ “การเปลี่ยนแปลง” ในพม่าถึงแม้ทั่วโลกจะมีข้อกังขากับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ตาม ทั้งนี้ นายกฯ อภิสิทธิ์พร้อมคณะได้เดินทางเยือนพม่าอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 ตุลาคม 2553 มีการวิเคราะห์ในสื่อภาษาต่างประเทศไม่น้อยว่าประเด็นสำคัญที่นายกฯ หยิบขึ้นมาหารือกับผู้นำพม่าคือ กรณีด่านการค้าแม่สอด- เมียวดีและท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำเมย 20 แห่งที่ถูกทางการพม่าสั่งปิดชั่วคราวมาตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม เพื่อตอบโต้การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งโดยเอกชนรายหนึ่งในฝั่งไทยที่ทางการ พม่าอ้างว่าทำให้เกิดการลุกล้ำร่องน้ำของตน<br /> <br />ที่ผ่านมา ทางการพม่ามักใช้การปิดด่านเป็นเครื่องมือตอบโต้ไทยหากมีการกระทบกระทั่งกัน เกิดขึ้นเนื่องจากผลประโยชน์ของนักธุรกิจไทยจากการค้าชายแดนนั้นถือว่ามีมูลค่า มหาศาล ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศแสดงให้เห็นว่าการปิดด่านที่ผ่านมาทำให้ผู้ส่ง ออกของไทยต้องสูญเสียรายได้เป็นมูลค่าเฉลี่ย 100 ล้านบาทต่อวัน<br /> <br />ผลการวิจัยเรื่อง “บทบาทของกลุ่มธุรกิจไทยในการกำหนดนโยบายความสัมพันธ์ไทย-พม่า, 1988- ปัจจุบัน” โดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แสดงให้เห็นว่า นโยบาย ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไทยมีต่อพม่าตั้งแต่ปี 2531 จนถึง 2548 นั้นมีความเป็นเอกภาพและความต่อเนื่องสูงมาก กล่าวคือ เป็นไปในทิศทางเดียวกันไม่ว่าจะรัฐบาลใด คือมุ่งให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับพม่าเป็นหลัก โดยปัจจัยหลักที่กำหนดนโยบายและการดำเนินนโยบายเชิงบวกต่อพม่าก็คือ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะเป็นสถาบันซึ่งมีอิทธิพลสูงอย่างหอการค้า จังหวัดและสภาหอการค้าไทย<br /> <br />นอกจากประเด็นการปิดด่าน ยังมีการวิเคราะห์กันว่าสาเหตุที่นายกฯ อภิสิทธิ์มีท่าทีโอนอ่อนต่อรัฐบาลทหารพม่าเป็นพิเศษก่อนการเลือกตั้ง ก็เพราะในขณะนั้น รัฐบาลไทยกำลังรอผลการเจรจาทางธุรกิจครั้งสำคัญกับผู้นำเผด็จการของพม่า นั่นคือ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกดาเวย (หรือทาวอย ชื่อเดิมของเมืองนี้ที่บางคนเรียกว่าทวาย) ซึ่งในที่สุด บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนท์ได้ลงนามกับการท่าเรือของพม่าเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนหรือหลังจากการเดินทางเยือนพม่าของนายกฯ อภิสิทธิ์ 3 สัปดาห์ สัญญาฉบับนี้ให้สิทธิลดหย่อนภาษีและสัมปทานกับอิตาเลียนไทยในการดำเนินการ ก่อสร้างส่วนของอุตสาหกรรมหนักในโครงการท่าเรือน้ำลึกนี้ถึง 70 ปี รวมถึงสัมปทานในส่วนอุตสาหกรรมเบาอีก 40 ปี ซึ่งอาจจะสามารถต่อสัมปทานได้อีกในอนาคต<br /><br /> <br />ในระหว่าง การประชุมอาเซียนซัมมิทครั้งที่ 15 ในเดือนตุลาคม 2552 นั้น นายกอภิสิทธิ์ได้ลงนามในสัญญาร่วมกับนายกฯ ของพม่าเพื่อผลักดันโครงการนี้ในระดับยุทธศาสตร์ชาติไปก่อนหน้าแล้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เองก็ได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่และพบปะกับ รัฐมนตรีของพม่าหลายหน จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจถ้าหากรัฐบาลไทยจะไม่ อยากพูดความจริงเรื่องการเลือกตั้งให้ระคายหูผู้นำพม่า โดยเฉพาะก่อนวันที่นักธุรกิจไทยจะได้เค็กชิ้นใหญ่นี้ ยังไม่ต้องพูดถึงอำนาจต่อรองของพม่าที่มีเหนือไทยเนื่องจากไทยต้องพึ่งพาพลังงานจากก๊าซธรรมชาติจากพม่าเป็นสัดส่วนที่สูงมาก<br /> <br />โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกดาเวยนั้นถือเป็นโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคย เกิดขึ้นในประเทศพม่า ภายในพื้นที่โครงการพัฒนานี้ยังประกอบด้วยโครงการขนาดใหญ่อีกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรม โครงการพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน โรงกลั่นน้ำมันและท่อส่งก๊าซ รวมถึงระบบสาธารณปูโภคพื้นฐานอย่างเช่น ถนนขนาด 8 เลน ฯลฯ ทั้งนี้ ในมุมมองของอาเซียน โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกดาเวยนี้จะมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์อย่างมาก เพราะจะเป็นท่าเรือน้ำลึกที่จะเชื่อมต่ออาเซียนกับทะเลจีนใต้โดยผ่านทะเล อันดามันและเป็นประตูสู่อินเดีย นอกจากนี้ยังช่วยให้เรือขนส่งสินค้าไม่ต้องไปอ้อมช่องแคบมะละกาอย่างที่ทำ กันในปัจจุบันสำหรับประเทศไทย รัฐบาลเองมีโครงการที่จะสร้างถนนเชื่อมต่อกาญจนบุรีกับดาเวยโดยตรง เพื่อเชื่อมตลาดของไทยเข้ากับท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ทางด้านอันดามัน เพราะท่าเรือน้ำลึกหลักของไทยไม่ว่าจะเป็นแหลมฉบังหรือมาบตาพุดล้วนตั้งอยู่ ในฝั่งอ่าวไทยทั้งสิ้น รวมทั้งความฝันของเอกชนที่จะมีท่าเรือน้ำลึกปากบาราทางฝั่งอันดามันก็ได้รับ แรงต่อต้านอย่างรุนแรงจนต้องพับโครงการเก็บไป<br /><br />นอกจาก ผลประโยชน์ของภาคธุรกิจและผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจของไทยแล้ว รัฐบาลไทยเองต้องการผลักดันให้อุตสาหกรรมของไทยเคลื่อนย้ายฐานไปใช้ทรัพยากร ของนิคมอุตสาหกรรมในดาเวยมากขึ้น เนื่องจากบทเรียนที่รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมได้รับจากกรณีมาบตาพุด ทั้งนี้ นายกได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ ว่า “อุตสาหกรรมบางอย่างนั้นไม่เหมาะสมที่จะตั้งในประเทศไทย” จึงเป็นสาเหตุให้เกิดแผนที่จะสร้างนิคมอุตสาหกรรมในโครงการพัฒนาท่าเรือนำ ลึกดาเวยขึ้น<br /><br />หลังจากกรณีมาบตาพุด โครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทยจะต้องผ่านการประเมินทางด้านสิ่งแวดล้อมรวมทั้ง การตรวจสอบจากภาคประชาชนที่เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในประเทศพม่าที่รัฐบาลยังคงอยู่ในความควบคุมของผู้นำทหารนั้น ประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในด้านสิ่งแวดล้อมหรือ สุขภาพของประชาชนไม่อยู่ในความสนใจของรัฐบาลแม้แต่น้อย ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าหลังจากที่อิตาเลียนไทยได้เข้าไปดำเนินการก่อ สร้างในพื้นที่แล้ว บริษัทก็ยังไม่มีนโยบายและแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการชดเชยให้กับผู้ที่ ต้องอพยพออกจากพื้นที่<br /> <br />ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายตั้งแต่ ระดับเลขาธิการของอาเซียน นายกฯ ของไทยไปจนถึงนักธุรกิจต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโครงการพัฒนาขนาดใหญ่จะ ช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนพม่า ข้อเท็จจริงกลับแตกต่างออกไปจากความเชื่อดังกล่าว ทั้งนี้ โครง สร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของพม่าที่ยังอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ ความสามารถที่จำกัดในการจัดการเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของข้าราชการพม่า ประกอบกับระบบการเมืองที่ขาดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมจากประชาชนจะเป็น ปัจจัยที่ทำให้โครงการขนาดใหญ่ยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำและก่อให้เกิดการ ทำลายวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น<br /><br />ในเมื่อรัฐบาลเผด็จการซ่อนรูปของพม่าไม่เคยถามประชาชนว่าต้องการอะไรและ ประชาชนก็ไม่มีสิทธิที่จะพูด คงเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่รัฐบาลและนักธุรกิจไทยจะสามารถทำให้ประชาชนพม่ามี ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างที่กล่าวอ้างKriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-24617420.post-21971953996234315802011-02-18T13:33:00.001+02:002011-02-19T04:09:00.857+02:00Thailand's Silence on Burma Poll is Deafening<em>Op-ed ของผมในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post เกี่ยวกับท่าทีของรัฐบาลไทยต่อการเลือกตั้งทั่วไปในพม่า ตีพิมพ์วันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 </em><br /><br /><br />Thai and foreign media held their breath when Prime Minister Abhisit Vejjajiva made his first official trip to Burma just weeks before the country's first elections in 20 years. The visit turned out to be nothing more than a business trip, with the prime minister showing far more interest in inking a US$13 billion (390 billion baht) deep-sea port investment deal in Dawei, formerly Tavoy, than in discussing the upcoming elections.<br /><br />Mr Abhisit's silence at this crucial time only assists the junta's efforts to legitimise ongoing military rule under a new "civilian" guise. It would be naive to think the Thai government was unaware of the consequences of its own policy. In fact, in its silence, Thailand is joined by China, India, and other members of the Association of Southeast Asian Nations who regardless of election-day ballot-stuffing, see these elections as a golden opportunity to justify increased trade and investment with their resource-rich neighbour.<br /><br />There are two possible reasons for the Thai government's silence, one being its own tenuous position since the crackdown on red shirt protests earlier this year. Since May, Mr Abhisit has faced intense criticism for the 92 casualties of mostly unarmed civilians, putting him in a tough position to call for human rights, freedom of expression, and the release of political prisoners in Burma. The other more significant reason for Thailand's "golden" silence on Burma's politics is that it remains Burma's top trade and investment partner.<br /><br />By putting short-term business interests first, Thai policy is not only destructive for Burma's people, but shortsighted for Thailand as well. In fact, the Yadana natural gas pipeline, in which PTTEP holds a large stake, has already proven to be one of the Burma regime's largest sources of income, and continues to be linked to killings and forced labour committed by the Burmese army, which provides pipeline security. Many villagers in the ethnic Karen areas surrounding the pipeline have been forcibly displaced, some joining the 2-3 millions of refugees and migrants who find a safe haven in Thailand. Local people rarely see the benefits of these so-called development projects, and in some cases such aggrieved populations have targeted international investments to express their discontent _ take for example the multiple bombings of China's dam in Kachin state in April.<br /><br />Expected clashes between the Burmese army and ethnic armies that refused to give up their arms before the election will only contribute to instability along the border. By putting business ahead of politics, Thailand is not only contributing to Burma's threat to regional peace and stability but putting its own investments at risk.<br /><br />In the run up to Burma's elections, democratic governments have responded in two main ways, with some boldly stating that the elections will in no way be free or fair, and others taking a "wait and see" approach. Thailand, on the other hand, has already sent clear signals through Mr Abhisit's business trip that it is willing to accept these elections as democratic progress, even if that couldn't be further from the truth.<br /><br />During the Asean summit in Hanoi last month, the only regional governments daring to criticise the blatant election problems were Indonesia and the Philippines. By not speaking out while its more democratic neighbours do, Thailand has further proven that it is quickly losing its ground as a positive democratic force in the region.<br /><br />If the Thai government wants to move beyond its shortsighted Burma policy, there are two things it can do. First, it can join critical voices inside and outside of Burma who understand that undemocratic elections without reconciliation will not lead to peace and stability. Second, as sitting president of the United Nations Human Rights Council, Thailand can join the global call for a UN Commission of Inquiry into war crimes and crimes against humanity. Such crimes will only increase post-election when the regime is likely to consolidate its power through attacks against ethnic armed groups. Despite Thailand's obvious stake in all of this, and its potential influence as Burma's neighbour and biggest investor, there is little promise that it will do either.<br /><br /><span style="font-style:italic;">My coauthor, Emily Hong is a writer and advocate working to support Burma's democracy and ethnic rights movement. She is a contributor to the forthcoming book Nowhere to Be Home: Narrators from Survivors of Burma's Military Regime.</span>Kriangsakhttp://www.blogger.com/profile/06294128657262063245noreply@blogger.com0