การครอบงำของสื่อ (ใหม่)
(เผยแพร่ครั้งแรกในเว็๋บสำนักข่าวประชาธรรม 15
ธ.ค. 2555)
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนในวงการสื่อ
โดยเฉพาะสื่ออิสระ มักพูดถึงเครือข่ายทางสังคมออนไลน์อย่าง Facebook ในฐานะ
"สื่อใหม่"
และคาดหวังว่ามันจะช่วยสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้กับการรับรู้และการกระจายข้อมูลข่าวสารเพิ่มขึ้น
จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่เราสังเกตเห็นได้ในวันนี้ ก็คือ
การผลิตซ้ำข้อมูลและข่าวสารทำได้ง่ายขึ้น
และดูเหมือนจะมีพื้นที่ใหม่ที่เปิดกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สำหรับการแสดงออกทางความคิดและความเห็นในแทบทุกเรื่อง นอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาอย่างปฏิเสธไม่ได้จากรูปแบบของเทคโนโลยีใหม่ในชีวิตประจำวันก็คือ
โอกาสในการเผชิญหน้าระหว่างความเห็นที่ต่างกันและพลวัตรของการจัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้เครือข่ายทางสังคมเหล่านี้
โดยไม่ต้องการตั้งคำถามเกี่ยวกับความคุณค่าของสื่อใหม่
บทความนี้ต้องการเพียงชักชวนให้ผู้ใช้ประโยชน์จากสื่อใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำหน้าที่สื่ออิสระและผู้ที่เรียกตัวเองว่า
"นักข่าวพลเมือง" ได้ลองตอบคำถามพื้นฐานที่สำคัญว่า
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ พื้นที่ที่เปิดกว้างขึ้น หรือ "เสรีภาพ"
ที่เรารู้สึกว่าได้รับจากพื้นที่นี้ แท้จริงแล้ว ได้เพิ่มอำนาจให้กับพวกเราในการกำหนดวาระทางสังคม
และเป็นอิสระมากขึ้นจากการครอบงำของสถาบันหลักของสังคมหรือไม่??
สถาบันหลักที่ว่า
หมายความรวมถึงสื่อกระแสหลักที่ถูกกำกับด้วยระบบตลาด, กลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจที่มุ่งแสวงหาเพียงกำไร,
สถาบันที่มีลักษณะกดขี่ในสังคม เช่น หน่วยงานความมั่นคง, กลุ่มจารีตนิยมที่ครอบงำสถาบันสำคัญต่างๆ
เช่น สถาบันการศึกษา วิจัยและศาล หรือแม้กระทั่ง
สถาบันทางการเมืองที่ประชาชนไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้
ความเป็นอิสระจากการครอบงำของสถาบันหลักเหล่านี้
คือ หัวใจที่สำคัญของการเข้าถึง "ความจริง" หรือในรูปธรรม คือ
ความเห็นพ้องต้องกันในสภาวะที่เป็นอยู่ และควรจะเป็นของสังคมและสถาบันต่างๆ
ในสังคม ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีขึ้น
แต่อิสรภาพจากการครอบงำของสถาบันเหล่านี้
ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากอำนาจของประชาชนในการควบคุมทิศทางของข้อมูลและพลังในการสื่อสาร
เพื่อสร้างความจริงในแบบของภาคประชาชนเอง
****
อำนาจในการควบคุมทิศทางของข้อมูลและพลังในการสื่อสารมาจากไหน?
ประการสำคัญที่สุด
นักข่าวพลเมืองจะต้องเป็นอิสระจากการถูกกำกับและการกำหนดรูปแบบการสื่อสารโดยสื่อใหม่
อิสรภาพที่เรากำลังพูดถึง แน่นอน
ต้องไม่ใช่เพียง "เสรีภาพ" ในมุมมองของภาคธุรกิจที่มีความหมายแคบๆ
เพียงโอกาสหรือทางเลือกในการได้บริโภคมากขึ้น หากยินดีที่จะจ่ายเพิ่มขึ้น
และ/หรือไม่ใช่เพียง "เสรีภาพแบบปัจเจก" ที่เกิดขึ้นได้
บนเงื่อนไขของการผูกขาด กรรมสิทธิเอกชน และการทำลายพื้นที่สาธารณะ ฯลฯ
เพราะเสรีภาพแบบที่ว่านั้นเป็นเพียงสภาวะแห่งการพึ่งพิงที่ลึกซึ้งขึ้น
ไม่ต่างจากการตกเป็นทาสของสารเสพติด
ที่ยิ่งเสพก็ยิ่งมีผลทำลายความสามารถในการมองเห็นการพึ่งพิงดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพิงเครือข่ายที่กำหนดโดยธุรกิจการตลาด
หรือการกำกับและความเห็นชอบของหน่วยงานรัฐ ที่พยายามสอดส่ายสายตาและมือไม้ที่หยุบหยับเข้ามาภายในเครือข่ายการสื่อสารที่ซับซ้อน
แต่เปราะบางนี้
ดังนั้น
ผู้ที่ต้องการควบคุมทิศทางและพลังของการสื่อสารย่อมต้องเข้าใจทั้งโอกาสและข้อจำกัดของสื่อใหม่
ซึ่งหมายถึงไม่ละทิ้งโอกาสที่จะใช้สื่อแบบอื่น
ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สาธารณะ ที่ในทางกลับกัน
มีแนวโน้มจะถูกปิดกั้นในแง่เนื้อหาได้ยาก (หรือช้า) กว่า
สื่อใหม่ยังต้องเน้นความสามารถในการสื่อสาร
ทั้งในแง่การเข้าถึงผู้รับสื่อจำนวนมากและในสถานที่ที่เหมาะสม
โดยเฉพาะในย่านคนชนชั้นแรงงานที่ไม่มีโอกาสพึ่งพาเครือข่ายทางสังคมได้เท่ากับคนชนชั้นกลาง
การเพิ่มอำนาจในการควบคุมทิศทางของข้อมูล
รวมทั้งพลังในการสื่อสาร ในแง่หนึ่ง จึงกินความไปถึง
การขยายขอบเขตของความหมายสิ่งที่เรียกว่า "สื่อใหม่"
ให้กว้างไกลไปกว่าเครือข่ายทางสังคมและโลกอินเตอร์เน็ต
เพื่อไม่ให้เนื้อหาของสื่อถูกกำหนดจากรสนิยม บรรทัดฐานทางศีลธรรม
หรือแม้กระทั่งความสามารถในการจ่ายของเสียงข้างมากเท่านั้น
แล้วการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นหละ ??
แน่นอนว่าอำนาจของสื่อใหม่
ส่วนสำคัญมาจากการเปิดพื้นที่ให้คนจำนวนมากขึ้นได้เข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดประเด็นของข้อมูลหรือข่าวสารที่สมควรได้รับการดีเบตในสังคม
แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้อยู่ว่าสังคมที่เรากำลังพูดถึงนั้นมีขอบเขตและอาณาบริเวณกว้างไกลแค่ไหน,
ผู้รับสื่ออยู่ในพื้นที่ที่สอดคล้องกับประเด็นนั้นหรือไม่
และที่สำคัญ สังคมที่กำลังพูดถึงนั้นเป็นเพียงจินตนาการหรือเป็นพื้นที่จริงที่ผู้คนสามารถสร้างประสบการณ์และความทรงจำแบบรวมหมู่ได้ร่วมกัน
ที่สำคัญไปกว่านั้น
การมีส่วนร่วมที่เรากำลังพูดถึงนั้น ต้องไม่ใช่การได้สวมบทบาทใหม่
เช่นเดียวกับที่ผู้บริโภคที่ได้รับความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจากการได้มีส่วนร่วมในการประกอบสินค้าอุปโภคด้วยตนเอง
(Do It Yourself) หากเป็นเช่นนั้น
การมีส่วนร่วมที่เรากำลังพูดถึง โดยเนื้อแท้แล้ว
ก็เป็นเพียงเทคนิคใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตและพฤติกรรมการบริโภค
ที่มุ่งให้ผลลัพธ์อย่างเดิมคือ กำไรสูงสุดสำหรับธุรกิจ และความพึงพอใจสูงสุด
สำหรับผู้บริโภค
*****
บทความนี้ไม่ได้เสนอคำตอบใดๆ
เกี่ยวกับสื่อใหม่และบทบาทของนักข่าวพลเมือง แต่จะขอตัดเอาคำพูดตอนหนึ่ง ของMicheal
Hardt & Antonio Negri ในบทความล่าสุด (It Begins With
Refusal ใน Adbusters Magazine) มาเพื่อแสดงจุดยืนว่า
"ใช่ เราต้องการค้นพบความจริง แต่ยิ่งไปกว่านั้น
เราจำเป็นต้องสร้างความจริงใหม่ด้วย
(ความจริงใหม่)
ที่จะถูกสร้างก็โดยเพียงความเป็นหนึ่งเดียวกันของเครือข่ายที่สื่อสารถึงกันและเป็น/อยู่ร่วมกัน"
******
จะน่าตกใจแค่ไหน หากเราพบว่า
"เสรีภาพ" และ "การมีส่วนร่วมทางการเมือง" ในแบบปัจเจก ที่เราพึงพอใจว่าได้รับจากการใช้สื่อใหม่นั้น
ในอีกด้านหนึ่ง
ช่วยตอกย้ำให้การครอบงำและอำนาจทางเศรษฐกิจของสถาบันที่เป็นปริปักษ์กับเสรีภาพและการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบรวมหมู่นั้นมั่นคงแข็งแรงขึ้น???
ความคิดเห็น