จะไปให้ไกลถึง... สุดแดน
ตามที่ระบุเอาไว้ที่ปก หนังสือ “จะไปให้ไกลถึงไหนกัน” คือ ความเรียงและเรื่องราวว่าด้วยการเดินทาง ของสุดแดน วิสุทธิลักษณ์*
สุดแดน เดินทางไกลสมชื่อของตัว เพราะจารึกการเดินทางของเขา บอกให้รู้ว่าเขาไปเยี่ยมเยือนสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่สุโขทัย เวียตนาม ฮ่องกง อินเดีย เนปาล ทิเบต จอร์แดน ตุรกี... จนกระทั่งเปรู
ยังไงก็ตาม การเดินทางของเขาไม่ได้เป็นเส้นตรง ไม่ว่าจะมองจากมิติของเวลาหรือสถานที่
เขามักเชื้อเชิญให้ผู้อ่านติดสอยห้อยตามเขาเดินทางผ่านมิติที่ 3 ด้วยพาหนะคือ “ความคิดคำนึง” และ “การใึคร่ครวญ” ที่เป็นแบบฉบับและมีอานุภาพ ซึ่งแทบจะทุกครั้ง ต้องยอมรับว่าเราก็ถูกดึงเข้าร่วมขบวน “การเดินทางของความคิด” อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
และบ่อยครั้ง เราเองก็ติดค้างอยู่ในพื้นที่ที่ทับซ้อนระหว่างมิติเวลาและมิติของความคิด ...อย่างพออกพอใจ
เมื่อมนุษย์จ้องมองวันเวลา
หลายครั้ง การคิดคำนึงถึง “เวลา” ในขณะเดินทางของสุดแดน ย้ำเตือนว่าเวลาไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงเสมอไป เขายังแสดงให้เห็นอีกว่า เราอาจดึงตัวเองออกจากกฎธรรมชาติของเวลา และเติบโตขึ้นได้แม้ขณะเดินทางถอยหลัง
ยังไงก็ตาม เขาก็ไม่ลืมที่จะเตือนให้เราตระหนักถึงข้อจำกัดของมนุษย์ รวมทั้ง ความโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวของสิ่งที่เรียกว่า “เวลา”
ความฝันใต้รองเท้า
สุดแดนคือนักฝันตัวยง และการเดินทางสำหรับเขา คือการสานฝัน ตรวจตราฝัน ปลุกตัวเองจากฝัน รวมทั้งตามหาฝันใหม่ๆ
ความฝันสำหรับเขา หลุดจากกฎเกณฑ์ของการแบ่งโลกจินตนาการและโลกของความจริง มันจึงไร้ขีดจำกัด และมีชีวิตของมันเอง ฝันจึงสามารถเติบโตหรือเจ็บป่วยได้
สำหรับเขาแล้ว ความฝันอาจเป็นเหมือนอวัยวะอันหนึ่ง ...
พบ พลบ และการจากลา
แน่นอน การเดินทางเน้นย้ำภาพของการพบและการพลัดพรากมากขึ้นกว่าการอยู่ติดถิ่น แต่การเดินทางทำให้สุดแดนไปไกลกว่าการพบและลาจากผู้คนหรือสถานที่
เขามักตั้งคำถามกับ “การมาถึงและจากไปของเวลา” “การรอคอย” รวมทั้ง “สิทธิในการเผชิญกับการมาถึง” ที่เหลื่อมล้ำกัน อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์
นอกจากการเดินทางซึ่งนำไปสู่การพบ ลาจาก รวมทั้งการรอคอยที่แสนทรมานแล้ว การแสวงหาและการสำรวจยังเป็นสิ่งที่ครอบงำความคิดของเขา
ในฐานะนักมานุษยวิทยา เขาชี้ให้เห็นถึง “เสน่ห์”ของการค้นหา และ “ความลุ่มหลง” ของเขาต่อการสำรวจ ยังไงก็ตาม เราได้เรียนรู้จากสุดแดนว่า สิ่งที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการสำรวจ คือการยึดครอง รวมทั้งภาพสะท้อนของมันนั่นคือการปลดปล่อย
ไม่ว่าจะเป็นการยึดครองหรือปลอดปล่อยให้เป็นอิสระทางกายภาพ ความคิดหรือความรู้สึก
ที่อยู่ของความโศรกเศร้า
สิ่งหนึ่งที่อาจเรียกว่าเป็นอภิสิทธิ์ของผู้เดินทาง คือการได้สวมบทของแขกและผู้สังเกตการณ์ ในฐานะผู้สังเกต เรามักมองเห็น (และได้ยิน) อะไรต่ออะไรชัดเจนกว่าผู้อยู่อาศัยจนเคยชิน
อภิสิทธิ์นี้ทำให้เราสามารถเข้าถึง “เหตุผล” ได้ดีกว่าก็จริง แต่มันก็ไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันเราจากการถูกกระทบของความรู้สึกเลย
ในฐานะแขกและผู้ไปเยือน หลายต่อหลายครั้ง สุดแดนต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ขาข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนฐานที่มั่นคงของเหตุผล แต่อีกข้างกลับก้าวถลำเข้าไปในหล่มของอารมณและความรู้สึก
"เมื่อเหตุผลเงียบ หัวใจก็เริ่มพูด"
กลางทางของชีวิต
สุดแดนมักจะเปรียบเทียบวิธีคิดเรื่องจุดเริ่มต้นและที่หมายของการเดินทางกับชีวิต แต่สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด คือ สอนเราว่าระหว่างทางนั้นคือส่วนที่อาจจะสำคัญที่สุด และเรามักจะหลงลืม
เช่นเดียวกับสุดแดน ที่การเดินทางภายนอกมักนำเขาไปสู่การเดินทางและสำรวจ “ภายใน” เราต้องเผชิญกับคำถามเชิงปรัชญามากมาย ทั้งเรื่องการเกิด การตาย การสืบทอด ตัวตนและความเป็นอื่น ...
สุดท้ายแล้ว การเดินทางร่วมกับเขา ทำให้เรากลับมาสู่จุดเริ่มต้น ที่พบว่าเราไม่เป็นคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
จะไปให้ไกลถึงไหนกัน
ในขณะเดินทางอยู่กลางถนนของชีวิต เราเองไม่ต่างจากสุดแดน ที่เคยเผชิญกับความสงสัย หวาดหวั่นและลังเลใจต่อการเดินทางข้างหน้า เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมยังไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้
ได้แต่บอกกับตัวเองว่า "อย่างน้อยก็โชคดีที่เส้นทางของเราได้มาตัดกัน"
ขอบคุณความคิดและความสวยงามจากหนังสือ ของพี่สุดแดน (เดียว)
-------------------------------------------------------------------------------
* ทำงานเขียนบทสารคดีโทรทัศน์ อาทิ โลกสลับสี และโลกสีน้ำเงิน ก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบัน กำลังทำปริญญาเอกอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส มีผลงานหนังสือ 2 เล่ม คือ จะไปให้ไกลถึงไหนกัน และไกลตา ใกล้ใจ และบทความเผยแพร่ตามวารสารและนิตยสารจำนวนไม่น้อย
ความคิดเห็น
ในเวลาเดียวกัน คำวิจารณ์ก็งดงามไม่แพ้ผลงานต้นฉบับ ทำให้ข้าพเจ้า "คลั่งมาก"
ขอแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจ