คดีที่ดินลำพูน กรณีศึกษาความล้มเหลวของการจัดการที่ดินของไทย
(เผยแพร่ครั้งแรก คอลัมน์มุมมองบ้านสามย่าน กรุงเทพธุรกิจ 12 พ.ค. 2555)
ถึงแม้สังคมไทยจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาความยากจนในชนบทกับการขาดที่ดินทำกิน
โดยเฉพาะการสูญเสียที่ดินของชาวบ้านให้กับนายทุนนอกพื้นที่ แต่คำอธิบายเรื่องการสูญเสียที่ดินมักวนเวียนอยู่กับเรื่องความโลภของนายทุน
การทุจริตคอรัปชันของข้าราชการท้องถิ่นหรือแม้กระทั่งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของชาวบ้าน
ยังไม่ถูกนำไปเชื่อมโยงกับรากของปัญหา นั่นคือ แนวคิดและวิธีการในการจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดิน
รวมถึงกลไกกำกับการใช้ประโยชน์จากกรรมสิทธิ์ที่ดินในสังคม
การจัดการเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินของรัฐบาลไทยเกิดขึ้นอย่างจริงจังในช่วงปลายทศวรรษ
2520 ผ่านโครงการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน (Land
Titling Program) ระหว่างปี 2527 – 2547 ที่รัฐบาลเรียกว่า “โครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศ”
ซึ่งได้รับเงินกู้ยืมจากธนาคารโลกรวมเป็นเงินกว่า
180 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งการสนับสนุนทางด้านเทคนิคจากหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของออสเตรเลีย
(AusAID)
ในมุมมองแบบธนาคารโลก โครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินเป็นต้นแบบความสำเร็จในการจัดการที่ดินโดยใช้กรรมสิทธิ์แบบเอกชนในระดับโลก
โครงการดังกล่าวถึงกับได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากธนาคารโลก (World Bank Award for Excellence) ในปี 2540 ทั้งนี้ มีการประเมินว่าโครงการดังกล่าวทำให้เกิดเอกสารสิทธิ์ถึง 13
ล้านสิทธิ์แก่เจ้าของที่ดินและทำให้เกิดประโยชน์ทางด้านสังคม
เศรษฐกิจและการเงินกับประเทศไทยคิดเป็นมูลค่ามหาศาล อย่างไรก็ตาม กลับเป็นเรื่องย้อนแย้งพอสมควรกับรางวัลที่ได้รับในปี
2540 เพราะในปีเดียวกันนี้ ทุกคนทราบดีว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากฟองสบู่ในภาคการเงินของไทยได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ถึงขนาดทำให้วิกฤตเศรษฐกิจโลกคราวนั้นได้รับการอ้างอิงว่าเป็น “วิกฤตต้มยำกุ้ง”
ข้อมูลอีกด้านแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเร่งรัดออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดินหลายครั้งในช่วงปลายทศวรรษ 2520 และต้นทศวรรษ 2530 เพื่ออำนวยให้กระบวนการออกโฉนดเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ตอบสนองกับความต้องการที่ดินจากการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
กระบวนการดังกล่าวเป็นตัวเร่งให้เกิดการแข่งขันกันสะสมที่ดินเพื่อเก็งกำไรและฟองสบู่ขนาดใหญ่ขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ลักษณะเดียวกับที่เกิด “วิกฤตซับไพรม์” ทั้งนี้ งานวิจัยเกี่ยวกับการถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดินของมูลนิธิสถาบันที่ดินในปี
2544 แสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจลดลงประมาณร้อยละ 30-
40 หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสียที่ส่วนมากเป็นเงินกู้อสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นไปสูงถึงกว่า
5.5 ล้านล้านบาทในช่วงกลางปี 2543
อย่างไรก็ตาม
สถิติสถาบันการเงินที่ถูกปิดตัว มูลค่าของหนี้เน่า NPL หรือราคาเกินจริงของที่ดินบนจอคอมพิวเตอร์นั้นล้วนเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น
ฐานรากของปัญหาที่ซ่อนตัวอยู่สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นกลับเป็นเรื่องการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินที่ซ้ำเติมปัญหาการเข้าถึงที่ดินสำหรับทำกินของชาวบ้านในชนบทที่มีอยู่แล้ว
กรณี “ที่ดินลำพูน”
นั้นเป็นกรณีศึกษาหนึ่งที่สำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะกรมที่ดินที่จะประเมิน
“ความสำเร็จ” ของโครงการเร่งรัดออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศ
เนื่องจากข้อพิพาทระหว่างเกษตรกรและนายทุนในพื้นที่ต่างๆ
ของจังหวัดลำพูนนั้นเป็นผลลัพธ์โดยตรงของโครงการดังกล่าวที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี
2528 กล่าวคือ ในทศวรรษ 2530 กระบวนการเร่งรัดออกโฉนดที่ดินตามโครงการดังกล่าวทำให้ที่ดินสาธารณะจำนวนมากที่ชุมชนเคยครอบครองและใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ถูกนำไปออกเอกสารสิทธิ์และขายตกไปอยู่ในมือนายทุนเอกชนภายนอกโดยที่ชาวบ้านไม่ได้รับรู้
ที่ดินเหล่านี้จำนวนมากถูกซื้อเพื่อเก็งกำไรและปล่อยทิ้งร้างไม่ได้ทำประโยชน์ ขณะที่จำนวนหนึ่งต่อมากลายเป็น
NPL ของสถาบันการเงินและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารที่ยึดทรัพย์สินเหล่านั้นตามลำดับ
ชาวบ้านในหลายพื้นที่ของจังหวัดลำพูนจึงร่วมกันเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินสาธารณะเหล่านั้น
แต่นายทุนหลายรายกลับฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว
ขณะที่สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ได้เจรจากับรัฐบาลเพื่อขอให้แก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว
รวมทั้งเรียกร้องให้มีการนำที่ดินเอกชนมาทำการปฏิรูปและจัดสรรให้กับชุมชน
(ในที่สุด ประสบความสำเร็จในการผลักดันนโยบายป่าชุมชนและธนาคารที่ดิน) อย่างไรก็ตาม
ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา มีชาวบ้านถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งสิ้น
125 คน จนกระทั่งปัจจุบัน
มีชาวบ้านจากบ้านท่าหลุก กิ่งอำเภอเวียงหนองล่องและบ้านดงขี้เหล็ก อ.บ้านโฮ่ง ถูกตัดสินจำคุกแล้ว
24 ราย ในจำนวนนี้ 1
รายเสียชีวิตในขณะถูกคุมขังตามที่เคยปรากฎเป็นข่าว ทั้งนี้ วันที่
6 มิถุนายน 2555 ที่จะถึงนี้ จะมีการพิจารณาตัดสินคดีเพิ่มเติมในชั้นศาลฎีกากับผู้ถูกฟ้องร้องอีก
3 รายจากพื้นที่บ้านพระบาท อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
คดีที่ดินลำพูนเป็นเพียงหนึ่งกรณีตัวอย่างที่ยกขึ้นมาแสดงให้เห็นว่าปัญหาการเข้าถึงที่ดินนั้นเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวกับวิกฤตภาคการเงิน
การเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเข้าถึงความยุติธรรมของคนในชนบท นอกจากนี้
การพิจารณาความสำเร็จของนโยบายหรือโครงการของรัฐก็เป็นเรื่องซับซ้อนกว่าที่เข้าใจกัน
สุดท้าย อาจกล่าวได้สั้นๆ เพียงว่า หากไม่มีการปฏิรูประบบที่ดินให้เป็นธรรมมากขึ้นแล้ว
คนตัวเล็กที่ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจในสังคมก็คงจะต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนที่แสนแพงสำหรับ
“ความมั่งคั่ง” ของคนส่วนใหญ่เช่นนี้ต่อไป
ความคิดเห็น