ช่วยด้วย สื่อแทรกแซงผม

ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปเป็นเวลาเกือบเดือน (แต่ไม่ได้ห่างหายจากการอ่านและการคิด) ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้น ในทางตรงกันข้าม ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์และปรากฏการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย ทั้งบรรยากาศโค้งสุดท้ายของการหาเสียงของผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของฝรั่งเศส (ซึ่งก่อให้เกิด “ดีเบต” ในประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย) และผลของการเลือกตั้ง ที่ตัวของมันเองก็น่าหยิบมาคิดและพูดถึง, การประท้วงและพยายามปิดมหาวิทยาลัยของเด็กฝรั่งเศส อันเป็นผลจากผลการเลือกตั้งนี้แหละ, การตั้งพรรคใหม่ (โดยเปลี่ยนชื่อพรรค) ของนายบายีฮู, หรือข่าวลอร์ มาโนดู นักว่ายน้ำหญิงแชมป์โลกของฝรั่งเศส ประกาศตัดความสัมพันธ์ (ทางอาชีพ) กับลูกาส์ ครูฝึกประจำตัว ไปทำการฝึกที่ตูริน เพื่อให้ได้อยู่ใกล้แฟนหนุ่มนักว่ายน้ำชาวอิตาเลียนมากขึ้นฯลฯ

ในฟากของประเทศไทย (ที่ไม่ค่อยได้ติดตามอย่างใกล้ชิด) นอกจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญรายวันอันเกิดจากสถานการณ์ไม่สงบในภาคใต้ ที่มีผู้เสียชีวิตมากและถี่จนกลายเป็นเรื่องปกติและน่าเบื่อหน่าย (ในความหมายของการสูญเสียความสนใจ) แล้ว ก็มีข่าวระเบิดในวันฉัตรมงคล ที่ตู้โทรศัพท์บริเวณตรงข้ามพระราชวังสวนจิตรฯ, การเคลื่อนไหวและกระแสเรียกร้องให้นายกฯ สุรยุทธ์ลาออก, กระแสที่ค่อยๆ ซาลงของการเรียกร้องให้บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ, การถึงแก่อนิจกรรมของท่านผู้หญิงพูนสุข ในเวลาตี ๒ ของวันที่ ๑๒ (๒ ชั่วโมงถัดจากวันปรีดี คือวันที่ ๑๑ พฤษภาคม), การประชุมเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ที่กรุงเทพฯ และการปิดไฟเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการประหยัดพลังงาน, ข่าวการสลายม็อบในสวนปาล์มฯ ที่ดูน่าจะมีประเด็นน่าสนใจ (แต่ข่าวถูกเสนอเหมือนกับไม่มีประเด็นน่าสนใจ จึงไม่ได้ติดตาม) ฯลฯ

นี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนหนึ่งในบรรดาเหตุการณ์ที่ได้มีโอกาสผ่านหูหรือผ่านตา และยังติดอยู่ในใจ

ยังมีข่าวที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในโลกอีก เช่น ประท้วงรอบที่หนึ่ง สอง สาม ในตุรกี, โทนี แบลร์ อำลาอาชีพการเมือง (ก่อนหน้านั้น ได้สร้างกระแสเล็กๆ จากการกล่าวแสดงความยินดีกับปธน. ฝรั่งเศสคนใหม่ด้วยภาษาฝรั่งเศส บนเว็บของตน) ฯลฯ

ไหนยังเหตุการณ์ที่ไม่น่าสนใจ (สำหรับตัวเราแต่น่าสนใจสำหรับคนอื่น) และ/หรือที่ไม่น่าสนใจกับใครทั้งนั้น (แต่มีสลักสำคัญ) รวมทั้งที่เกิดขึ้นเฉยๆ (แต่มีผลกระทบ) อีกมากมาย ......

เรียกได้ว่า แค่เขียนหัวข้อข่าวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก ในความรับรู้ของเรา โดยไม่ต้องเสียเวลากับรายละเอียด ก็กินพื้นที่ของหน่วยความจำไปหลายเม็กฯ แล้ว (คิดแล้วก็อยากขอบคุณไมโครซอฟ แอปเปิ้ล และผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของเอ็มพีสามและอะไรก็ตาม ที่ถูกนำมาใช้แทนกระดาษในการบันทึกและเก็บข้อมูล)

ไม่ว่าใครจะทำปิดหูปิดตาหรือปิดสวิทช์ความรู้สึกรู้สาเอาไว้ โลกก็ไม่แยแสแม้แต่น้อยกับความไม่อนาทรร้อนใจนี้ เพราะโลกหมุนทุกๆ ขณะ และหมุนจนกว่าจะถึงวันหมดอายุของมัน

และใครบางคนก็แอบสังเกตเห็นวันหมดอายุใต้กระป๋องโลกแล้วด้วย เลยพยายามหากระป๋องใหม่ (ที่น่าจะใส่คนและสัมภาระของคนต่อจากโลกกระป๋องเก่าได้) กันให้จ้าละหวั่น

พูดถึงข่าวมาตั้งยืดยาว ก็อดคิดถึงสื่อ (ในความหมายขององค์กรและผู้จ้างคนออกไปหาวัตถุดิบมาป้อนใส่ไมค์และหน้าจอมอนิเตอร์) ไม่ได้ เพราะสื่อคือผู้ตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรจะรู้ ทั้งตัดสินใจโดยทางอ้อม คือตัดสินใจจ้างคนที่จะมาเลือกอีกที และตัดสินใจทางตรง คือเป็นกระบะที่เทเอาสมองมากองรวม เพื่อคิดว่าจะเอาอะไรมาขาย

ที่อยากพูดถึงคือ ความเข้าใจโดยทั่วไปของเราว่า “สื่อในประเทศประชาธิปไตย ในยุคนี้ คือเครื่องมือคานอำนาจรัฐ แต่สื่อไม่เข้มแข็งนัก เพราะถูกแทรกแซงจากการเมืองได้บ่อยครั้ง”

ความเข้าใจหรือความเชื่อนี้ ฝังรากแก้วและรากฝอยในสมองของเราอย่างเหนียวแน่น แบบที่เรียกว่ากลายเป็นสถาบันหนึ่งเลยก็ว่าได้ นักคิดคนหนึ่ง (โนอัม ชอมสกี้) ได้ตั้งคำถามอย่างเฉียบคมว่า ความเชื่อเหล่านี้ เป็นผลมาจากความพยายามของสื่อเองที่ทำให้เราเชื่ออย่างนั้นหรือไม่?

ชอมสกี้เองได้ชี้ทางสว่างเอาไว้ในบทความและหนังสือหลายเล่ม โดยชี้ให้เราเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความลึกลับดำมืดของอำนาจและสถาบันของอำนาจในสังคมอเมริกัน อย่างเช่นรัฐบาลและสื่อ โดยชอมสกี้ บอกว่าความคิดของทุกคนที่ว่าลูกค้าของสื่อ (สิ่งพิมพ์ สถานีวิทยุหรือโทรทัศน์) ก็คือผู้อ่าน ผู้บริโภคหรือพวกเราทุกคนนั้น จริงๆ แล้วผิดถนัด

เพราะลูกค้าของสื่อจริงๆ แล้วคือองค์กรธุรกิจต่างหาก และตัวเราเองกลับเป็นเพียงสินค้าที่สื่อเสนอขายให้กับองค์กรธุรกิจเหล่านั้น โดยที่เราไม่รู้ตัว!

สื่อที่ร่ำรวย จึงไม่ใช่สื่อที่ขายทุกอย่างให้กับทุกคน แต่ขายเฉพาะบางเรื่องให้กับคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะคนมีเงินกลุ่มเล็ก (และสื่อที่กำลังจะไปไม่รอด มักจะลดยอดการผลิตและเล็งเป้าใหม่ เพื่อหากลุ่มลุกค้าที่แคบลง แต่อยู่สูงขึ้น)

เพราะคนมีเงินและอำนาจกลุ่มนี้แหละ คือสินค้าชั้นดี ที่สื่อจะสามารถวางโชว์ในตู้อย่างสมราคา เพื่อล่อตาล่อใจลูกค้ารายใหญ่อย่างธุรกิจอุตสาหกรรมและธุรกิจการเงินต่างๆ ให้มาใช้บริการลงโฆษณากันในระยะยาว

โดยที่คนอ่านหรือคนเสพ กลับนึกลำพองใจไปกันเองว่า ตัวเองคือพระราชาที่มีคนนำอาหารอันโอชะมาใส่พานถวาย ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองคืออาหารจานน่าหม่ำซะเอง นอกจากนั้น สื่ออีกนั่นแหละที่เป็นผู้ทรงอิทธิพล และกำหนด “วาระ” ของสังคม ให้เหล่านักวิชาการและนักการเมือง-ข้าราชการมานั่งถกกันหน้าดำหน้าแดง โดยที่หลงคิดไปว่าตัวเองเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคม

แล้วอย่างนี้จะพูดอย่างเต็มปากว่า “รัฐแทรกแซงสื่อ” ได้ยังไง

ความคิดเห็น

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า
สื่อมี 'อิทธิพล' จริง
สื่อมองผู้บริโภค 'เป็นสินค้า' นำเสนอผู้ประกอบการ จริง
แต่
สื่อกำหนด "วาระ" ของสังคม อันนี้ คิดว่าสื่อแค่ 'ฉกฉวย' โอกาส 'นำเสนอ' คืนแก่ผู้บริโภค เพื่อสานต่อ 'ความอยู่รอด' แก่ตัวสื่อเอง
ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า
มาแอบเก็บแนวคิดดีๆ ที่นี่คับ

บทความที่ได้รับความนิยม